”วันนี้จะโทรไปถามอาการคนไข้ ที่ไปหาซื้อ cytotec มากิน ที่เจอเมื่อวาน ว่ายังปลอดภัยดีอยู่ไหม ถ้าแท้ง ลองทายซิ ว่าเธอจะรู้สึกยังไง“ เมื่อหลายปีก่อน (เกิน ๑๐ ปีแน่ๆ ) ผมเพิ่งเริ่มเขียนบันทึกในเฟซบุ๊ก มีเพื่อนในสังคมโซเชียลเพียงนิดเดียว มันก็จะเป็นคล้ายๆแบบนี้ คือเป็นเหมือนแคปชั่น

แล้วก็มีคนเขียนคอมเม้นต์เข้ามา
‘ไอ้เว!!’ เธอคนนี้เป็นเพื่อนสมัยประถมเขียนเข้ามาเป็นคนแรก
‘ไม่เวรครับ นี่คือชีวิตจริงๆ คนเป็นๆ ที่ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง’ ผมตอบเธอไป
‘ถ้าคนไข้เข้าใจตรงนั้นก็ดีสิ’ การสนทนายังคงต่อเนื่อง

‘ความจริงก็มีอยู่ว่า ความสามารถในการเข้าใจ ในแต่ละคน ถูก set ไว้ด้วยปัจจัยหลายอย่างครับ ทำไมเรื่องบางเรื่องเข้าใจแสนง่ายแต่คนกลับมองไปร้อยแปดพันเก้า เรื่องทำแท้งเป็นตัวอย่างที่ดีในการแสดงให้เราเห็นว่า ความเข้าใจนั้นยากแท้หยั่งถึง ที่สำคัญ เรื่องนี้เรามักมองคนที่คิดไม่เหมือนเราว่าเขาคิดผิด เขาไม่ดี จริงไหมก้อย‘ ชื่อนี้เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ผมอยู่ ป.๑ นู่น 

‘เหตุผลของแต่ละคนร้อยแปดพันเก้า…แต่คำว่า “แท้ง” มันรู้สึกไม่ดียังงัยก็ไม่รู้สิ’ 
‘ก้อย ที่มันรู้สึกไม่ค่อยดีนั้น ลองมานั่งนึกดูนะครับว่ามันเกิดจากอะไร ใจเราไปตัดสินความถูกผิดดีชั่วของคนอื่นเขาหรือเปล่า ผมเองก็เคยทำอย่างนั้นบ่อยๆ ครับ จนต้องถอยมาตั้งหลัก แล้วกลับไปนึกถึงหรือพยายามนึกไปถึงทุกข์ที่เขาต้องบากหน้ามาหาเรา กว่าจะทำใจได้ก็นานโขครับ’ นี่คือคอมเม้นต์สุดท้ายของเธอและผมในโพสต์นั้น ทุกวันนี้เรายังคงกดไลก์ให้กันอยู่

‘จริงครับอาจารย์ มาทำงานชนบท แล้วก็รู็ว่า เรื่องสุขภาพอาจไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุดอย่างที่เราอยากให้เป็น คนเรายังต้องปากกัดตีนถีบอีกเยอะแยะ บางทีเราก็ต้องปรับแผนการรักษาเรา ให้เข้ากับสภาพความเป็นจริงในชีวิตเขาด้วย เราจะเอามาตราฐานเราไปตัดสินคนอื่นมิได้ขอรับ อย่างผมอุ้มหมาไปเดินเล่นที่ถนนคนเดิน ก็มีคนหาว่าผมบ้า อันนี้ผมก็เลยบอกไปว่า ป้าก็คงบ้าเหมือนกันเพราะคุยกะผมรู้เรื่อง 55’ คนนี้คือลูกศิษย์ เขาเป็นนักเรียนแพทย์ของผมในสมัยที่ผมกำลังสับสนในชีวิตเรื่องการทำแท้ง เขาจึงเห็นพัฒนาการทางความคิดของผมมาตลอด

‘เมื่อไรที่เรารู้สึก “ยังไงก็ไม่รู้” เป็นโอกาสอันงามที่เราจะได้ศึกษาตนเองให้เข้าใจว่า “ทำไมเราถึงได้รู้สึกเช่นนั้น” และเมื่อรู้ เข้าใจ นั่นก็จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่เราจะเริ่มรู้ และเข้าใจคนอื่น วิธีที่ดีที่สุดที่จะไม่ให้ guilt มันค่อยๆ สะสมพอกพูนงอกเงยแล้วมากลัดหนองตอนที่เรา weak ที่สุดก็คือ เผชิญหน้ากับมันตรงๆ ให้เร็วที่สุด เรียนรู้จากมัน อย่าไปหลบ แม้ว่าจะพบว่าตัวเราเองไม่สวยงามอย่างที่คิด แต่นั่นคือบทเรียนบทแรก ได้แก่การเผชิญความจริง

ในหลายๆ เรื่อง การเผชิญความจริงด้านนี้ (ว่าเราไม่สวยงาม) มันน่ากลัวมาก เพราะคุณงามความดีที่เราหลงเชื่อว่าเรามี (หรือสร้างภาพ หลอกตนเอง หลอกคนอื่น) มันจะโดนกระแทกกลางแซกหน้า นั่นเป็นเวลาและพื้นที่ของกัลยาณมิตรที่จะเข้ามาหล่อเลี้ยง ไม่ต้องทำอะไรมาก มาบอกว่ายังรักเขาอยู่ อภัยให้เขา และอยู่กับเขา สร้างพลังใหม่ ให้เดินไปข้างหน้าให้ได้
หน้าที่หมออีกประการคือ การเป็น “กัลยาณมิตร” นี่เอง ไม่ใช่ทำหน้าที่เป็นอัยการ หรือเป็นศาลตัดสินผู้คน งานของเราคือเยียวยา ไม่ใช่เพชรฆาต‘ ครูของผมคนนี้มักให้ความเห็นที่งดงามเสมอครับ 

‘แล้วพี่คิดว่าระหว่างการทำหน้าที่เป็นผู้เยียวยากับการเป็นเพชรฆาตอันไหนเป็นได้ง่ายหรือถูกจริตคนมากว่ากัน’ มีรุ่นพี่ท่านหนึ่งเขียนมาถามครูคนเดิม ซึ่งครูผมก็ตอบมาในทันทีเช่นกัน
‘ผมไม่ใคร่ให้ความสนใจเรื่องยากง่ายเท่าไหร่ เพราะไม่คิดว่าเป็น motivator หลักของพฤติกรรมมนุษย์ เป็นปัจจัยรองมากกว่า แต่เรื่อง “จริต” นี่น่าสนใจ และพลอยคิดไปด้วยว่า “ไม่มี” จริตสากล แบบว่า common เหมือนกันหมด ที่จริงแล้วจริตน่าจะมีเยอะพอๆ กับความหลากหลายของอัตตานั่นทีเดียว แน่นอนมันย่อมมีคนที่มีจริตเยียวยา และคนที่มีจริตเพชรฆาต มีใครมากกว่าใครคงจะเป็น futile exercise มั้ง แต่สิ่งสำคัญที่สุดในเรื่องนี้ก็คือ ไม่ว่าจริต นิสัย สันดาน หรืออะไรก็แล้วแต่ มนุษย์ยังครอบครอง “สิทธิในการเลือก” ไปตลอดชีวิต ว่าเราอยากจะเป็นอะไร

ไอ้ที่ว่า no choice หรือกระแสมันแรง หรืออะไรนั่น มันบงการด้วย FEAR ซึ่งส่วนใหญ่ก็อุปโลกน์ขึ้นมาเองทั้งสิ้น’ เห็นฝีไม้ลายมือของครูผมไหมครับ
‘แต่ถ้าหมอไม่ขอเป็นทั้งผู้เยียวยา และเพชรฆาต แต่เป็นผู้วางเฉยแบบไร้อารมณ์ แบบไม่ใช่เรื่องของเรา ไม่อยากจะ tune in หรือ empathy หล่ะพี่ จะได้ไหม เพราะมันก็เบาและโล่งสมองดีค่ะ’ เออนะ..

‘หึ หึ จริงหรือที่มันเบา มนุษย์ถูกมอบสฬายตนะทั้ง 5 ผัสสะทั้ง 6 มา ไม่ใช่สิ่งที่เราจะ “ตัด” หรือ “ปิดสวิทซ์” ได้อย่างที่คาดหวัง อีกประการ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำ มันจะมี repercussion เสมอ หากเราทำตัว detach จากอารมณ์ คิดว่าลูกหลานเราจะทำเหมือนเราไหม ถ้าทำเหมือนกัน เราก็จะได้ผลแห่งการกระทำของเราตอนที่เราต้องการ emotional support มากที่สุดเมื่อวาระของเรามาถึง เมื่อนั้นจะสำนึกเสียใจก็คงจะสายไปเสียแล้ว เส้นป่านแห่งชาตากรรมนี้ เมื่อเราเลือกทอไปแล้ว ยังไงๆ เราก็ต้องยอมรับผืนผ้าที่ถักทอมาจากด้ายของเราเองเสมอ‘ ผมรีบไปเปิดดูความหมายของคำว่า สฬายตนะ ในทันที

สฬายตนะ คือ อายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นหนึ่งในเหตุ ปัจจัยในปฏิจจสมุปบาท – เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะ เป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ ดู อายตนะภายใน

‘เดี๋ยวแป๊ะกลับมา คงมาโพสต์ว่า…..ว่ากันไปเรื่อย… ไปนอนดีกว่านะท่านพี่’ เขาคงเข้ามาคุยกันช่วงดึกสินะ

“สุดยอดเลยครับ แนวคิดของอาจารย์..และพี่.. ผมอ่านแล้วเข้าใจไม่ยาก แต่บางทีทำยาก เรื่องแท้งของผมผ่านการ tune-in มานาน กว่าจะเริ่มเข้าใจว่าควรทำอย่างไร เมื่อก่อนนั้นทำแท้งทีไรเสียใจทุกที” ผมเป็นผู้เขียนปิดคอมเม้นต์ในคราวนั้น

การสนทนาแบบนี้ผมว่ามันประเทืองปัญญามาก
ธนพันธ์ ชูบุญผู้ชอบความประเทือง
๑๗ ม.ค. ๖๗ 
ขอบคุณที่มา : ผศ. นพ.ธนพันธ์ ชูบุญ https://facebook.com/thanapan.choobun

ร่วมติดดาวให้เนื้อหาที่ท่านชื่นชอบ

คลิกที่ดาวเพื่อติดดาวให้เนื้อหานี้

จำนวนดาวเฉลี่ย 0 / 5. จากการติดดาวทั้งหมด 0

ยังไม่มีการติดดาวให้กับเนื้อหานี้... เป็นคนแรกติดดาวให้เนื้อหานี้