สัญญาณแรกของการตั้งครรภ์ 7 อาการที่อาจเกิดขึ้น
เมื่อไหร่ที่อาการตั้งครรภ์จะเริ่มปรากฏ?
สัญญาณการตั้งครรภ์มักเริ่มปรากฏ 1-2 สัปดาห์หลังจากการปฏิสนธิ หรือประมาณ 4-6 สัปดาห์นับจากวันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้าย อย่างไรก็ตาม อาการเหล่านี้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
7 สัญญาณบอกเหตุการตั้งครรภ์ที่พบบ่อย
1. ประจำเดือนหยุดมา (Missed Period): อาการที่เด่นชัดที่สุด โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีรอบประจำเดือนสม่ำเสมอ หากประจำเดือนมาช้ากว่าปกติ 7-10 วัน อาจเป็นสัญญาณการตั้งครรภ์
2. คลื่นไส้และอาเจียน (Morning Sickness): มักเกิดขึ้นในช่วงเช้า แต่อาจเกิดได้ตลอดวัน เริ่มประมาณสัปดาห์ที่...
รู้ทันการตั้งครรภ์ คู่มือดูแลตัวเองฉบับสมบูรณ์ สำหรับคุณแม่คนใหม่
การตั้งครรภ์เป็นช่วงเวลาสำคัญที่ต้องการการดูแลอย่างเหมาะสม เมื่อได้รับข่าวดีแล้ว การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อสุขภาพที่ดีของทั้งคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์จึงเป็นสิ่งจำเป็น
4 ขั้นตอนสำคัญเมื่อรู้ว่าตั้งครรภ์
1. ฝากครรภ์ทันที: นัดพบแพทย์ทันทีเมื่อรู้ว่าตั้งครรภ์ การตรวจครรภ์สม่ำเสมอช่วยติดตามพัฒนาการของทารกและสุขภาพคุณแม่
2. รับประทานวิตามิน: เริ่มรับประทานกรดโฟลิก 400 ไมโครกรัมต่อวัน ตั้งแต่รู้ว่าตั้งครรภ์จนถึง 12 สัปดาห์แรก เพื่อป้องกันความผิดปกติของระบบประสาททารก
3. ปรับเปลี่ยนอาหารการกิน
ควรรับประทาน:
อาหาร 5 หมู่ครบถ้วน เน้นโปรตีน แคลเซียม ธาตุเหล็ก
ผัก ผลไม้หลากหลายสี
ดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว
ควรหลีกเลี่ยง:
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
อาหารดิบ...
ทำไมต้องรู้อายุครรภ์ให้ชัดเจน?
เข้าใจง่ายๆ เรื่องการนับสัปดาห์ของการตั้งครรภ์ครรภ์และความสำคัญ การนับอายุครรภ์ทำไมถึงนับจากประจำเดือน?
หลายคนสงสัยว่าทำไมแพทย์ถึงนับอายุครรภ์จากวันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้าย (Last Menstrual Period: LMP) ไม่ใช่จากวันที่มีเพศสัมพันธ์หรือวันที่รู้ว่าตั้งครรภ์
เหตุผลง่ายๆ คือ:
วันแรกของประจำเดือนจำได้ง่ายกว่าวันตกไข่
เป็นมาตรฐานสากลที่แพทย์ทั่วโลกใช้
ช่วยให้การคำนวณแม่นยำและสม่ำเสมอ
วิธีนับอายุครรภ์แบบง่าย
กรณีประจำเดือนมาสม่ำเสมอ
นับจากวันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้าย
ตัวอย่าง: ประจำเดือนมาวันที่ 1 มกราคม → วันนี้ 1 กุมภาพันธ์ = ครรภ์ 4 สัปดาห์ 3 วัน
กรณีประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรือจำวันประจำเดือนไม่ได้
ใช้การตรวจอัลตราซาวด์ช่วยประเมิน
แพทย์จะวัดขนาดตัวอ่อนเพื่อคำนวณอายุครรภ์
ทำไมอายุครรภ์ถึงสำคัญกับการยุติการตั้งครรภ์?
1. กฎหมายไทยกำหนดชัดเจน
12...
รู้ไว้ก่อนมีเพศสัมพันธ์ ช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พร้อม
การศึกษาเรื่อง การคุมกำเนิด ก่อนมีเพศสัมพันธ์ เป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ยังไม่พร้อมมีลูก การเตรียมความรู้ ความเข้าใจ และการวางแผนล่วงหน้า ช่วยลดความเสี่ยงของ การตั้งครรภ์ไม่พร้อม และยังเป็นการสร้างความรับผิดชอบร่วมกันระหว่างคู่รัก
ทำไมต้องรู้เรื่องการคุมกำเนิดก่อนเริ่มมีเพศสัมพันธ์?
การมีความรู้เกี่ยวกับ วิธีคุมกำเนิด ล่วงหน้า จะช่วยให้คุณและคู่ของคุณ
ตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูล
เข้าใจผลที่อาจเกิดขึ้นหลังมีเพศสัมพันธ์
วางแผนเรื่องเพศอย่างรอบคอบ ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และอนาคต
การวางแผนอย่างมีข้อมูล ยังช่วยสร้างทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับ การวางแผนครอบครัว และส่งเสริมความเท่าเทียมในการตัดสินใจ
วิธีคุมกำเนิดที่ควรรู้
สำหรับผู้หญิง
ยาเม็ดคุมกำเนิด: รับประทานทุกวัน หากใช้อย่างสม่ำเสมอมีประสิทธิภาพสูง
ยาฝังคุมกำเนิด: คุมได้นาน 3–5...
ไม่กล้าตรวจการตั้งครรภ์ ทำไงดี?
ความกลัวไม่ใช่เรื่องผิด
เมื่อประจำเดือนขาด หรือมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน ความรู้สึกไม่มั่นใจว่า “จะท้องไหม?” เป็นเรื่องปกติ หลายคนรู้สึกไม่กล้าหยิบที่ตรวจขึ้นมา หรือไม่กล้าเผชิญกับคำตอบ เพราะกลัวว่าจะต้องตัดสินใจในสิ่งที่ยังไม่พร้อม แต่การ ไม่รู้ อาจทำให้คุณ เสียโอกาสในการจัดการอย่างปลอดภัย และมีทางเลือกน้อยลง
จะเริ่มตรวจยังไงดี ถ้ายังไม่กล้า?
เริ่มจากการปรึกษา คุยกับคนที่ไว้ใจได้ หรือขอคำปรึกษาจากผู้ให้บริการที่ไม่ตัดสิน เช่น RSATHAI ซึ่งมีทีมให้คำแนะนำแบบไม่เปิดเผยตัวตน และพร้อมอยู่ข้างคุณ
เลือกช่วงเวลาที่เหมาะสม หากประจำเดือนขาดไปมากกว่า 7 วัน หรือมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันเกิน...
ใช้ถุงยางแบบไหน ปลอดภัยแน่ๆ
ทำไมต้องใส่ใจ “ชนิด” ของถุงยาง?
ถุงยางอนามัยคือวิธีคุมกำเนิดที่มีข้อดีคือ หาซื้อง่าย ใช้ง่าย ป้องกันได้ทั้งการตั้งครรภ์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แต่การจะได้ “ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยแน่ๆ” ต้องเริ่มจากการ เลือกถุงยางให้เหมาะสมและใช้อย่างถูกวิธี
ถุงยางแบบไหนปลอดภัย?
มี อย. และวันหมดอายุ : เลือกถุงยางที่มีเครื่องหมาย อย. (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) ระบุชัดเจนบนกล่อง รวมถึงเช็กวันหมดอายุทุกครั้งก่อนใช้งาน
ผลิตจากยางลาเท็กซ์ หรือโพลียูรีเทน : ถุงยางที่ผลิตจากวัสดุคุณภาพดีจะไม่ขาดหรือรั่วง่าย โดยเฉพาะ ลาเท็กซ์ ที่ยืดหยุ่นและแน่นหนา...
จดประจำเดือนกันเถอะสาวๆ ไม่ใช่เพื่อเช็คระยะปลอดภัย แต่เพื่อดูแลสุขภาพของเรา
จดรอบเดือน ไม่ได้มีไว้แค่คุมกำเนิด
ผู้หญิงหลายคนเคยได้ยินคำว่า “นับวันปลอดภัย” แล้วจดประจำเดือนเพื่อหลีกเลี่ยงการตั้งครรภ์ แต่ความจริงแล้ว “การจดรอบเดือน” ไม่ควรใช้เพื่อคุมกำเนิด เพราะไม่แม่นยำพอ แต่ควรใช้เพื่อ ติดตามสุขภาพประจำเดือนของเรา อย่างต่อเนื่อง
ทำไมควรจดประจำเดือนเป็นประจำ?
รู้จักรอบเดือนของตัวเอง : แต่ละคนมีรอบเดือนต่างกัน การจดช่วยให้รู้ว่าเรามาเร็ว มาช้า หรือสม่ำเสมอหรือไม่
สังเกตความผิดปกติได้เร็วขึ้น : ถ้าจู่ๆ ประจำเดือนขาดนานเกิน 2 เดือน หรือมามากผิดปกติ — การจดจะช่วยให้เราสังเกตได้ทันที...
กินยาคุมรายเดือนมานานแล้ว แต่ประจำเดือนไม่มา ท้องไหม?
ยาคุมรายเดือน = ประจำเดือนควรจะมาตรง?
ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมแบบรายเดือน (ที่มีทั้งเม็ดฮอร์โมนและเม็ดแป้ง) ทำงานโดยควบคุมระดับฮอร์โมนเพื่อป้องกันการตกไข่ และโดยทั่วไปจะทำให้ประจำเดือนมาสม่ำเสมอระหว่างกินเม็ดแป้งในแผง
แต่หากคุณกินยาคุมมานาน แล้วประจำเดือนขาด — ไม่ใช่เรื่องแปลก และไม่จำเป็นต้องแปลว่าตั้งครรภ์เสมอไป
สาเหตุที่กินยาคุมแล้วประจำเดือนขาด
ร่างกายตอบสนองต่อฮอร์โมนของยาคุมผู้ที่กินยาคุมต่อเนื่องหลายเดือน ร่างกายอาจมีเยื่อบุโพรงมดลูกบางลง จนไม่มีประจำเดือนหรือมีน้อยจนสังเกตไม่เห็น
ลืมกินยา หรือกินไม่ตรงเวลาหากกินยาไม่สม่ำเสมอ หรือเว้นช่วงเกิน 7 วัน อาจทำให้ฮอร์โมนไม่เสถียร และทำให้ประจำเดือนเลื่อน หรือเกิดการตกไข่จริง = มีโอกาสท้อง
ความเครียด พักผ่อนไม่พอ น้ำหนักเปลี่ยนแม้กินยาตรงเวลา ปัจจัยอื่นที่รบกวนระบบฮอร์โมนร่างกาย...
กินยาคุมรายเดือนอยู่ แต่ทำไมถึงท้อง?
คุมกำเนิดทุกวัน แต่ทำไมยังมีโอกาสท้องได้?
ยาคุมกำเนิดแบบรายเดือนมีประสิทธิภาพสูงถึงกว่า 99% หาก “กินตรงเวลา” ทุกวันอย่างต่อเนื่อง แต่หากมีพลาดบางอย่าง ประสิทธิภาพก็อาจลดลงจนนำไปสู่การตั้งครรภ์ได้
สาเหตุที่ทำให้ “กินยาคุมแล้วท้อง”
ลืมกิน หรือกินไม่ตรงเวลา
หากลืมกินหลายเม็ด หรือเว้นช่วงเวลานานโดยไม่รู้ตัว จะทำให้ระดับฮอร์โมนในร่างกายไม่เสถียร และไม่สามารถยับยั้งการตกไข่ได้
อาเจียนหรือท้องเสียหลังรับประทานยา
หากกินยาไปแล้วอาเจียนภายใน 2 ชั่วโมง หรือมีอาการท้องเสียรุนแรง ฮอร์โมนอาจถูกขับออกก่อนดูดซึม ทำให้ยาไม่ออกฤทธิ์เต็มที่
ใช้ยาหรือสมุนไพรบางชนิดร่วมกัน
ยาบางกลุ่ม เช่น ยากันชัก (Carbamazepine, Phenytoin), ยารักษาวัณโรค (Rifampicin),...
กินยาคุมฉุกเฉินหลายแผงในเดือนเดียว อันตรายไหม?
มีผู้รับบริการรายหนึ่งเข้ามาปรึกษาว่า “มีเพศสัมพันธ์หลายครั้งในเดือนเดียว และกินยาคุมฉุกเฉินไปหลายแผง แล้วต่อมาเกิดอาการมีมูกเลือดปนเนื้อเยื่อออกมาหลังมีเพศสัมพันธ์ครั้งล่าสุด อยากรู้ว่าอาการแบบนี้คือผลข้างเคียงจากยาคุม หรือกำลังตั้งครรภ์ และต้องกินยาคุมฉุกเฉินอีกไหม?”
คำถามนี้เป็นเรื่องที่หลายคนสงสัย เพราะอาการหลังการใช้ยาคุมฉุกเฉินหลายครั้งในช่วงเวลาสั้น ๆ อาจทำให้ร่างกายเกิดปฏิกิริยาได้
ยาคุมฉุกเฉินหลายแผงในเดือนเดียว — ส่งผลอย่างไร?
การใช้ยาคุมฉุกเฉินบ่อยครั้งในรอบเดือนเดียว ไม่เพียงลดประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ แต่ยังอาจทำให้ร่างกายมีอาการข้างเคียง เช่น:
มีเลือดออกกะปริบกะปรอย หรือมีเนื้อเยื่อบางส่วนออกมาระหว่างรอบเดือน
คลื่นไส้ ปวดศีรษะ เจ็บคัดเต้านม หรือเวียนหัว
ประจำเดือนคลาดเคลื่อน หรือมาเร็ว/ช้ากว่าปกติ
อารมณ์แปรปรวน และเจ็บท้องน้อย
แล้วอาการที่มีเลือดปนเนื้อเยื่อคืออะไร?
ในหลายกรณี การที่มีเลือดออกเล็กน้อยหลังใช้ยาคุมฉุกเฉิน อาจเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุโพรงมดลูกที่หลุดลอก ซึ่งอาจดูเหมือนเป็น...