เวลาที่หมอสูติสอดนิ้วเข้าไปในช่องคลอดหญิงมีครรภ์ที่กำลังจะคลอดลูกนั้น หมอเค้าจิ้มหรือคลำอะไร เคยสงสัยไหม
คำตอบคือ คลำทั้งช่องคลอดแม่และหัวลูกครับ ในช่องคลอดของคนท้องใกล้คลอดนั้นพวกผมจะแยงนิ้วเข้าไปจนสุด และสุดที่หัวเด็ก 

ณ จุดนั้น เราจะสัมผัสปากมดลูกครับ เราจะประมาณคร่าวๆ ว่าปากมดลูกมันเปิดอ้ากว้างเท่าไหร่ มีความหนาความบางเป็นเช่นไร เพราะคนจะเบ่งให้เด็กออกมาได้นั้น ปากมดลูกต้องเปิดอ้าจนหมด นั่นก็คือเส้นผ่านศูนย์กลางราว ๑๐ เซนติเมตร จากนั้นเราก็จะคลำต่ำลงมาครับ เพื่อหาปุ่มกระดูกที่มีชื่อว่า ischial spines ซึ่งมันมีตำแหน่งอยู่ราวๆ ๕ และ ๗ นาฬิกาตามเวลาเข็มสั้นบนหน้าปัด ทั้งนี้ก็เพื่อประเมินการเคลื่อนต่ำลงมาของหัวทารกไงครับ มันต้องเคลื่อนลงมาเรื่อยๆ จากในอุ้งเชิงกรานลงมาในช่องคลอด และท้ายที่สุดก็ออกมาจ่ออยู่ที่ปากช่องคลอด พร้อมออก

นอกจากนั้นก็ประเมินความโค้ง ความอูมของกระดูกอุ้งเชิงกรานของแม่ ว่ามันเหมาะสมต่อการคลอดทางช่องคลอดหรือไม่ กระดูกที่แหลมและสอบแคบเข้ามาแม้เพียงนิดเดียวก็คลอดยากนะครับ 

แต่เชื่อเหอะ กระโหลกของเด็กทารกมันยังไม่เชื่อมติดเหมือนของผู้ใหญ่นะครับ มันสามารถเคลื่อนและเกยกันได้เพื่อลดขนาดเส้นรอบวงหัวจนมุดผ่านออกมาได้นั่นแหละ

และการที่กระโหลกมันยังไม่เชื่อมกันนี้เองที่ทำให้เราสามารถคลำรอยแยกของกระดูกกระโหลกได้ 
กระโหลกคนประกอบด้วยกระดูกหลายชิ้นครับ มันเหมือนจิ๊กซอกะลามะพร้าว

เคยจับรอยบุ๋มบนหัวเด็กทารกกันใช่ไหมครับ ตรงกระหม่อมนั่น มันดึ๋งๆ กดได้ กดลงไปก็เป็นส่วนที่ยังไม่มีกระโหลก 
เอิ่ม..อันที่จริงมันก็มีกระโหลกนั่นแหละ เพียงแต่มันยังไม่เชื่อมติดกันนั่นเอง

ทารกยังมีสมองเล็ก และมันโตขึ้นทุกวัน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่กระโหลกต้องไม่เชื่อมเป็นเนื้อเดียวกันตั้งแต่เกิด เพราะเนื้อที่ด้านในมันต้องเพิ่มขึ้นยังไงล่ะครับ ลองหลับตานึกภาพดู ถ้าชิ้นกระดูกกระโหลกมันเชื่อมติดกันเร็วเกินไป เมื่อเนื้อสมองใหญ่ขึ้น มันจะคับขนาดไหน คับแน่ๆครับ และเนื้อสมองมันก็จะดันตัวเองออกมาทางช่องว่างๆที่มี เช่น เบ้าตา เป็นต้น นึกภาพออกไหม ว่าสุดท้ายจะเป็นเช่นไร

เล่ามายาวเลย ผมกำลังจะบอกว่า นอกจากเวลาที่ผมสอดนิ้วเข้าไปคลำกายวิภาคของช่องคลอดคนท้องแล้ว ผมยังคงต้องคลำกระโหลกทารกในช่องคลอดด้วย ผมคลำหาร่องระหว่างกระโหลก จุดสำคัญคือช่องว่างของรอยต่อเหนือท้ายทอย 

มันมีชื่อว่า occiput หรือ อ็อกซิปุด คลำไปเพื่อ? ก็คลำไปเพื่อประเมินการหมุนหัวของเด็กไง
เอาล่ะ อ่านช้าๆ นะครับ ผมกำลังจะเล่าให้ฟัง

คือตอนที่เด็กอยู่ในท้องน่ะ มันนอนตะแคง ไม่ได้นอนหงายหรือนอนคว่ำแต่อย่างใด แต่เวลาที่จะคลอด เมื่อหัวมันเจอรูอุ้งเชิงกรานแม่ให้มุดได้แล้ว กระดูกสันหลังส่วนกระเบนเหน็บและขอบกระดูกเชิงกรานของแม่จะบังคับให้ทารกหมุนหัวหันหน้าไปทางกระเบนเหน็บ เอาง่ายๆ คือเด็กจะหันหน้าไปมองตูดแม่ ตราบกระทั่งแม่เบ่งจนจิ๋มบาน หัวเด็กก็จะออกมาในท่ามองดูตูดแม่นั่นเอง นี่คือกระบวนการคลอดปกติทางช่องคลอด ถ้าเป็นแบบนี้ก็จะคลอดได้ครับ
คราวนี้พวกผมนี่แหละก็ต้องคอยตรวจว่าหัวมันหันมันหมุนยังไง เป็นไปตามนี้ไหม โดยการคลำขอบร่องกระโหลก และรอยบุ๋มเหนือท้ายทอยที่มีชื่อว่า อ็อกซิปุด นั่นเอง

คนทำคลอดต้องคลำหาอ็อกซิปุดได้…
เรื่องเล่านี้เกิดขึ้นในรถตู้คันที่มีผมนั่งอยู่ ฟังคนเก่าคนแก่เล่าเรื่องการทำคลอดในสมัยก่อน 

คนเก่าคนแก่ที่กำลังจะพูดถึงก็คืออาจารย์หมอสุธรรม คนที่ทำคลอดทางช่องคลอดโคตรเก่ง การตรวจภายในของอาจารย์มีความแม่นยำมากถึงมากที่สุด 

ในเย็นวันหนึ่งท่านมาทำคลอดคนไข้ที่อยู่ในการดูแล แล้วก็มีนักศึกษาแพทย์มาช่วยอาจารย์ หรือเรียกใหม่ให้ถูกไวยกรณ์ทางการศึกษาก็คือ มาให้อาจารย์ช่วยสอนการทำคลอด อาจารย์ก็ให้ตรวจภายใน คนไข้รายนั้นกำลังเบ่ง ปากมดลูกเปิดบานเต็มที่ ก็ ๑๐ เซนติเมตรนั่นแหละ หัวทารกก็เคลื่อนต่ำลงมามากระดับหนึ่ง

”อ็อกซิปุดอยู่ที่กี่โมง“ อาจารย์ถามขึ้นมา

คำว่ากี่โมงมันหมายความว่า อ็อกซิปุดมันอยู่ที่ตำแหน่งไหนเมื่อเทียบกับเข็มนาฬิกาบนหน้าปัด โดยท่าของหัวเด็กที่ดีที่สุดในการคลอดคือเด็กที่หันหน้าไปมองตูดแม่ นั่นคือ อ็อกซิปุดต้องอยู่ที่ตำแหน่งเที่ยงตรง หรือใต้ต่อกระดูกหัวหน่าวของแม่

”อ็อกซิปุดอยู่ที่กี่โมง“ คำถามนี้ทำเอานักเรียนแพทย์เหงื่อซึมคงเพราะคลำไม่เจอหลุมที่ว่านั่น บรรยากาศเริ่มตึง จนกระทั่งมีพยาบาลห้องคลอดคนหนึ่งตอบขึ้นมา ”หกโมงค่ะอาจารย์“

“ห๊ะ รู้ได้ยังไง ตัวเองไม่ได้ตรวจสักหน่อย” คือพยาบาลน่ะ เธอต้องอยู่ในห้องเบ่ง ช่วยวัดความดัน ส่งยานู่นนี่ ไม่ได้สอดนิ้วเข้ามาตรวจภายในคนไข้ของอาจารย์แน่ๆ

“เค้าติดประกาศไว้ค่าาาาา” เงียบสิครับคราวนี้ ทุกคนถึงกับออกอาการงง แล้วอาจารย์ก็หันไปมองเธอผู้นั้น

”อะไร“ ท่านถาม
”ก็อาจารย์ถามว่าห้องสมุดปิดกี่โมง วันนี้เค้าปิดเร็วค่ะอาจารย์ เค้าปิด ๖ โมงเย็นค่าาาา“

อ็อกซิปุด vs ห้องสมุด – -“ จบข่าว

ธนพันธ์ ชูบุญไม่ใช่นักศึกษาแพทย์คนนั้นแน่ๆ
๑๗ พ.ค. ๖๗ 
ขอบคุณที่มา : ผศ. นพ.ธนพันธ์ ชูบุญ https://facebook.com/thanapan.choobun

ร่วมติดดาวให้เนื้อหาที่ท่านชื่นชอบ

คลิกที่ดาวเพื่อติดดาวให้เนื้อหานี้

จำนวนดาวเฉลี่ย 0 / 5. จากการติดดาวทั้งหมด 0

ยังไม่มีการติดดาวให้กับเนื้อหานี้... เป็นคนแรกติดดาวให้เนื้อหานี้

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่