ผมเดินเข้าไปในร้านค้าของโครงการหลวงในสนามบินดอนเมือง 

ในใจนึกอยากจะหาซื้ออะโดกาโว่

เอ๊ะ อะโดกาโด้
เอ๊ะ อะโกดาโว่
เอ๊ะ อะโวกาโด้
เออ….ไอบ้า ไม่มีแฮะ..

ผมหยิบสตรอเบอร์รี่มา ๒ กล่อง จากนั้นก็เดินวนไปวนมา ได้กาแฟโครงการหลวงมาซองหนึ่ง รู้สึกคิดถึงมัน เมื่อก่อนจะมีกาแฟแบบนี้ติดบ้านตลอดเพราะเดินทางบ่อย ช่วงหลังแม้นเดินทางบ้างแต่ก็ไม่ได้เหลียวมอง เพราะว่ามันออกจะเข้มไปสักนิด ขมติดลิ้นทนนาน 

ผมสะดุดที่ตู้แช่ผัก หยิบไชเท้ามา ๒ หัว กลับบ้านคืนนี้จะปั่นกินสดๆ อยากจะดีท็อกซ์สักหน่อย กรุงเทพฯ มันพิษเยอะ ผมนึกถามตัวเอง มันช่วยดีท็อกซ์ใจได้ไหมวะ……………..

Sex symposium มันมีชื่อไทยว่า “การประชุมระดับชาติ สุขภาวะทางเพศ ครั้งที่ ๓ การตั้งครรภ์ในวัยรุ่น จากยุทธศาสตร์สู่การปฏิบัติที่ยั่งยืน” จะยาวไปไหนวะ มันถูกจัดขึ้นมาโดย สสส. และหน่วยงานใหญ่ๆ ร่วมด้วยอีกหลายหน่วยงาน ขี้เกียจจำ จำได้แต่ สสส. เพราะเขาจ่ายตังค์ให้ผม เค้าเชิญผมมาร่วมในการบรรยายในหัวเรื่อง “มุมมองของแพทย์ต่อการทำแท้งที่ปลอดภัย”

“ชื่อเชยจังครับอาจารย์” ผมบอกกับอาจารย์ที่เคารพรักในฐานะที่ท่านจะเป็นผู้ดำเนินรายการในช่วงผม ท่านเคยเป็นประธานราชวิทยาลัยสูติฯ ของผมเอง ท่านบอกว่า กลัวคนไม่เข้าฟัง

“ก็เล่นตั้งขื่อเสียแบบนี้” ผมยังไม่เลิก
“แล้วแป๊ะจะตั้งขื่อว่าอย่างไร” เลยถูกท่านย้อนกลับ
“หมอ ช่วยหนูด้วย หนูท้อง” ผมเสนอ
“แหม..แค่ใส่คำว่าแท้งลงไป คนจัดเค้ายังทำใจยากเลย” อาจารย์บอก……………………

“พ่อไม่เอา mask ติดตัวไปหน่อยล่ะ” เมียคงเป็นห่วง เค้าไม่อยากเป็นหม้ายเร็ว อันที่จริง เมียผมน่าจะทำใจได้ระดับหนึ่งในเรื่อง “หม้ายเร็ว” เพราะพันธุ์ของผมมันแรง พ่อเป็นโรคหัวใจตั้งแต่อายุได้ ๓๙ อาอีก ๒ คนก็เป็นตอนสี่สิบต้นๆ

แต่ผมก็บอกกับเมียไปแล้ว ว่าจะอยู่จนถึง ๙๐ ผมต้องดูฮัลเล่ย์ก่อนตายให้ได้ มันจะย้อนกลับมาตอนนั้น ผมต้องอายุ ๙๐ ก่อนสิ ส่วนเธอน่ะ เป็นพวกอายุยืน ผู้เฒ่าหลายคนในฝั่งของเธอ ตายเมื่ออายุเลยร้อยไปก็หลายคนอยู่

“พ่อตายก่อนแม่แน่นอน” ผมบอกอย่างนี้เสมอๆ ตายก่อนเมียน่ะดี เพราะจะได้ไม่ต้องทำอะไรเอง ตั้งแต่แต่งงานกันมา มือไม้ผมด้วนหมดแล้ว อยากได้อะไรก็เรียกเมียตลอด

สรุปว่าผมมาตัวเปล่า แม้สเมิ้สไม่มีติดตัวมาเลย เพราะคิดไว้แล้ว ว่าออกจากสนามบินก็ขึ้นรถ ลงจากรถก็เดินเข้าโรงแรม เมื่อจบบรรยายเดินออกจากโรงแรมก็ขึ้นรถ ลงจากรถก็เข้าสนามบิน ไหเหม็น เอ๊ย เห็นไหม ไม่ได้สูดลมดมพิษในกรุงเทพฯ ดอก ………………

เมื่อคืนผมนอนไม่หลับ

ปกติ เมื่อได้รับมอบหมายให้บรรยายเรื่องแบบนี้ ข้อมูลผมมีแน่นมาก หลังๆ ไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริมประเภทฉายสไลด์ จะมีก็แค่ไมค์ลอย เดินอาดๆ ไปได้ทั่วห้อง แต่งานนี้ คนฟังไม่น่าจะมีหมอเข้าร่วม มันเป็นงานบรรยายเชิงสังคม ผู้ร่วมน่าจะเป็นครู คนทำงานสาธารณสุขอื่นๆ ที่ไม่ใช่หมอหรือพยาบาล รวมถึงกลุ่มนักสังคมสงเคราะห์ และบรรดา NGO สาขาต่างๆ

แต่ผมน่าจะเอาอยู่ (เอิ่ม..คำนี้ ปกติผมเกลียดมากเลยนะ ไอ้เอาอยู่เนี่ย มันหลอนๆ ชอบกล)

และหลังจากที่เรียนจากครูนักบินไปเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว ผมบอกพี่ๆ ไปว่า จะใช้เทคนิกอย่างที่พี่ๆ สอนมา คือถามมากกว่าบรรยาย และท่ีสำคัญ คือการเขียนจุดประสงค์ของงานให้สมาร์ท

นอนไม่หลับ ผมตื่นตาสว่างโร่ตั้งแต่ตีสี่

คงเพราะมีความกังวลในรูปแบบที่จะพูด เวลาที่ใช้มีเพียง ๒๐ นาที (คนพูด ๓ คน มีเวลาชั่วโมงครึ่ง และต้องเหลือเวลาให้ผู้ดำเนินรายการและการซักถามอีก) เอาล่ะ ๒๐ ก็ ๒๐ ผมน่าจะจัดการได้ แต่มันก็ทำให้หลับๆ ตื่นๆ ขนาดนอนยังเอาไปฝันว่าได้ดำเนินการบรรยายตามสคริปที่วางแผนไว้

นั่นดิ อย่างนั้นมันก็น่าจะดี ใช่ไหม เพราะในฝัน การบรรยายดำเนินไปได้นี่นา

ผมเผื่อเวลามาตั้งแต่เช้าเพราะอยากฟังหัวข้ออื่นๆ

ในช่วงบ่าย เริ่มต้นด้วยการเสวนา “ศึกษาธิการ: จาก พ.ร.บ.สู่การปฏิบัติ” 

ผมนั่งฟังผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงจำนวน ๕ คนพูดถึง การจัดการระบบบริหารจัดการหลังจากมีพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ผมขอพูดเนื้อหาแบบกระชับก็คือ กระทรวงฯ ต้องจัดการเรียนการสอนเรื่องเพศ การจัดเตรียมครูผู้สอน และเมื่อเด็กท้องต้องช่วยเหลือและส่งต่ออย่างเหมาะสม

ก็ตามสไตล์ แนะนำตัวกันไปมาก็กินเวลาเลยไปเกือบ ๑๕ นาที ทุกคนพูดเหมือนกันคือ กระทรวงศึกษาฯ ทำมาก่อนแล้ว เค้าเตรียมทุกอย่าง ทำทุกอย่างกันมานานแล้ว

หึหึ นานแล้ว เท่าที่ฟัง ไม่มีใครกล้าพูดเรื่องทำแท้งออกมาสักคน

“เราจะไปบอกเด็กว่า อย่าเอาลูกออกนะ” นั่นไง คุณลุงคนนั้นพูดมา ผมนึกอยู่แล้ว จึงไม่ได้แปลกใจ “ผมเคยขึ้นเวทีเป็นประธานงานแต่งงานให้เด็กด้วย” คุณลุงอีกคนเสริม เท่าที่เคยเจอมาคือการถูกจับแต่งงาน

“ทางกฎหมายยังไม่เปิดโอกาสทำแท้งเสรีทีนะคะ แล้วเราจะส่งเด็กไปไหน” เอาอีก คุณป้าครับ การทำแท้งเสรีไม่มีในโลกที่ให้บริการอย่างเข้าถึงนะครับ อีกอย่าง ตอนนี้เด็กทำก็ทำแท้งเสรีกันมานานแล้ว ยาในเน็ตหาได้ง่ายถึงง่ายที่สุด

ผมเกิดอาการห่อเหี่ยวชอบกล เพราะท้ายที่สุด เราตัดสินใจแทนเด็กๆกันหมด พวกเค้าได้เคยคิดหรือตัดสินใจอะไรเองได้บ้างไหมวะ พอเหอะ ออกไปเตรียมตัวของเราดีกว่า สติสะตังเข้าตัว สมาธิเริ่มมา

ห้องของผม อยู่นั่นไง ๔๐๑ เด็กเต็มห้อง ห๊ะ เด็กนักเรียนเต็มห้อง!

ชิหา…ที่เตรียมมาเมื่อคืนไม่ใช่เพื่อเด็ก เนื้อหงเนื้อหาออกแนวแม่นาคพระโขนง มดลูกแตก ไส้กระจาย แล้วนักเรียนจะฟังเรื่องนี้ได้อย่างไร ว่าแล้วก็เหงื่อเริ่มซึม นี่ผมมีเวลาเตรียมใหม่ราวชั่วโมงนึงเนื่องจากต้องพูดเป็นคนท้ายสุด

ดินสอและกระดาษถูกหยิบมา ผมนึกถึงพี่นักบินที่สอนมาวันก่อน เอาวะ คราวนั้นเตรียมแค่ ๕ นาทีเอง “สวัสดีครับ พี่แป๊ะนะครับ” ประโยคแรก ทำเอาคนเริ่มตื่น เจ้าหนูน้อยคนนั้นมันหลับตั้งแต่สิบนาทีแรก เผยอหน้าขึ้นมาดู

“เรียกพี่นะครับ เพราะจะเรียกอาก็คงดูหัวงูไปนิด” คราวนี้เริ่มได้ยินเสียงหัวเราะ
“ผมขอเวลาเพียง ๑๕ นาทีนะครับ” เวลามันเหลือแค่นี้จริงๆ

“แล้วจะเข้าใจว่า พี่แป๊ะมายืนตรงนี้ทำไม” อันนี้คือสูตร intro ที่เพิ่งเรียนมา

“เอาล่ะ ใครเป็นนักเรียนบ้าง” มีคนยกมือราว ๓๐% , “ครู” ๖ คน ,“นักสังคมฯ” เกือบสิบคน
“นอกนั้น คงมีอาชีพอิสระ” ผมสรุป

“ใครไม่เห็นด้วยกับการทำแท้งบ้าง” เด็กนักเรียนทุกคน และผู้ใหญ่อีกราว ๒๐% ของห้องยกมือ รวมถึงคุณครูกลุ่มนั้นด้วย “ใครเห็นด้วย” ที่เหลือแหละนะ เพราะผมประเมินแล้วว่า ไม่มีใครไม่ยกมือ

“ผมจะดำเนินการสนทนาด้วยคำถาม ๓ ข้อ เอิ่ม..น้องครับ ช่วยจับเวลาให้พี่แป๊ะหน่อย ๔ โมง ๓๕ นาทีให้บอกเลยนะครับ พี่จะกลับหาดใหญ่ทุ่มนึง” ผมบอกเจ้าหนูตัวจ้อยนั้น เธอเป็นเด็กประถม อายุ ๑๒ ปี

“ข้อแรก ท้องแล้วมีทางออกอะไรบ้าง” 

“ทำแท้ง” พี่นักสังคมคนนั้นตอบเสียงดัง
“ให้นักสังคมเลี้ยง” ป้าที่นั่งอีกด้านคนนั้นสนองตอบ

เด็กๆ นักเรียนนั่งนิ่ง นั่นเพราะเขาคงงงกระมัง
“เอางี้ ผู้หญิงท้องได้ยังไง” มีนักเรียนชั้นม.ปลายนั่งอยู่บ้างทางนั้น แต่คำตอบจากพวกเธอยังไม่มี

“น้องท้องได้มั้ย” ผมเปลี่ยนรูปแบบคำถาม เจ้าหนูวัย ๑๒ ปีตอบ 

“๑๖ ปีท้องได้มั้ย” ได้ หึหึ เสียงเริ่มมา แบบนี้ก็เข้าทางผม
“๔๐ ปีล่ะ” “ได้ค่า” แหม่ มีทอดเสียง
“๔๘ ล่ะ” “ก็ได้ค่า” “เอิ่ม มันมากไปมั้ย สงสัยตอนนั้นคงได้อ๊วกออกมาเป็นตัวแน่ๆ คนมันวัยทองแล้วเฟ้ย” เสียงหัวเราะเริ่มดัง คราวนี้ทุกคนตื่น

“มีคนบอกว่าให้กลับไปเรียนต่อ เมื่อกี๊ผู้ใหญ่ทั้ง ๕ ก็บอกว่าให้เรียน หยุดสักเทอมแล้วค่อยมาเรียน ไม่ก็ย้ายไปเรียนที่อื่น” มีคนพยักหน้าหลายคนมาก

“ถามจริงเถอะลูก ถ้าลูกจะต้องหยุดเรียนด้วยเรื่องแบบนี้ ลูกจะรู้สึกยังไง” ผมถามเจ้าหนูวัย ๑๖ ที่นั้งแสดงท่าสนใจ พอพูดเรื่องเรียนแบบนี้ มันก็คือลูก

“เสียใจค่ะ” เธอตอบ

“หมอถามหน่อย ลูกอยากเรียนจบพร้อมเพื่อนไหม อยากเขียนเสื้อเพื่อน อยากให้เพื่อนเขียนเสื้อเราบ้างไหม” เธอพยักหน้า 
เธอบอกว่าคงรู้สึกเสียใจมากๆ ที่ไม่ได้จบพร้อมกัน เธออยากจับมือเพื่อนๆถ่ายรูปในวันปัจฉิมนิเทศน์

ผมคิดถึงพี่แป้งขึ้นมาทันที เธอเองไม่ยอมไปเรียนแลกเปลี่ยนที่เมืองนอกทั้งๆ ที่เรียนแสนเก่ง “แป้งอยากเรียนจบพร้อมเพื่อน ไม่อยากเรียนกับรุ่นน้อง” เธอเคยให้เหตุผลแบบนี้ ซึ่งผมก็ไม่เคยถามซ้ำอีกเลย

“แล้วที่เราเคยบอกให้เด็กท้องต่อ หยุดเรียนแล้วค่อยกลับมาใหม่น่ะ มันกลับมาสักกี่คน” เพราะในชีวิตการเป็นหมอสูติมานั้น เด็กๆ ที่ท้องแถวบ้านผม ไม่มีใครอยากกลับไปเรียนใหม่สักคน มีบ้างล่ะ แต่นั่นผมก็ไม่เคยได้คุยกับพวกเธอหลังคลอดอีกเลยนะ

“ที่เราบอกให้เด็กทำทุกอย่างนั้น เคยถามเค้าไหม ว่าเขาคิดอย่างไร เขาได้มีโอกาสเลือกไหมว่าจะเดินอย่างไร” ผู้ใหญ่ค่อนห้องทั้งพยักหน้าและส่ายหัว

ผมไม่ได้แปลความหมาย เพราะนั่นคืออาจจะพยักหน้าเห็นด้วยว่าไม่ได้ถาม หรือไม่ก็ส่ายหน้าเพราะไม่เคยถามจริงๆ

“เราตัดสินเค้าใช่ไหมครับ” เสียงหัวเราะแว่วมา


“เอาล่ะ หมอธนพันธ์เป็นชายหรือหญิง” ผมถามแบบนี้ ทั้งห้องจึงเงียบอีกครั้ง 
“ชาย” เสียงดังเชียว
“รู้ได้อย่างไร” ผมถาม
“แบน” ห๊ะ อะไรแบน เจ้าหนุ่มคนนั้นเอามือจับนมตัวเองให้ดูแทนคำตอบ
“มีจู๋” เด็กชายกลุ่มนั้นสักคนตอบมา
“เคยเห็นเหรอ” หัวเราะได้อีก

“ผมเป็นตุ๊ดมั้ย” 
“ไม่ค่ะ เพราะหมอบอกว่ามีลูก” เสียงด้านหลังดังมา

“เออ มีลูกแล้วเป็นเกย์ไม่ได้เหรอ ที่ผ่านมาน่ะ ลวงโลกมาตลอด” เอ้า เฮ
(เอิ่ม..มันคืออรรถรสทางบทละครนะครับ โปรดอย่าถือสา ผมน่ะ จบเอกการละครมา)

“เห็นไหมครับ พวกเราตัดสินว่าผมเป็นชาย ทั้งๆ ที่ไม่เคยได้รู้จักกันมาก่อนเลย เราตัดสินคนเก่งกว่าการที่จะมองเฉพาะความจริงตามที่เห็น” จริงใช่ไหม เรารัก ชอบ โกรธ หลง เพราะเราตัดสินใจแบบนั้น

“แล้วเรามักจะไปตัดสินเด็กๆของเรา” คราวนี้ผมหันไปมองเฉพาะผู้ใหญ่ในห้อง

“เอาล่ะ กลับมาคำถามที่ ๒ นะครับ ถ้าเค้าอยากทำแท้ง แล้วพี่แป๊ะไม่ทำให้ล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น”
“ก็ไปทำแท้งเถื่อน” เจ้าหนูผู้ชายคนนั้นน่าจะอยู่ม.ต้นตอบเสียงดัง
“นี่ พี่ถามจริงเหอะ รู้มั้ย ว่าเค้าทำแท้งกันยังไง อะไรเรียกว่าทำแท้ง อันนี้เป็นคำถามแทรก” 

คราวนี้เด็กๆ ตอบไม่ถูก

“มีใครเคยเห็นการทำแท้งบ้าง” เฮ้ย มีเด็กยกมือ
“ดูในข่าวค่ะ” เออ โล่งไป อย่างนั้นเรียกดูข่าว ไม่ได้เรียกว่าเห็นการทำแท้ง

แน่ล่ะ มันจะไปตอบถูกได้อย่างไร แต่มันก็บอกอะไรเราหลายอย่างในคำตอบนี้นะครับ เพราะข่าวสมัยนี้ มันก็ออกกันแบบนี้ทั้งนั้น โหดเลวชาติ มีให้เห็นทุกเช้า

คราวนี้ผมอธิบายให้เค้าฟังว่า “แท้ง” กับ “คลอด” ต่างกันอย่างไร และเมื่อเห็นการพยักหน้าและแววตาของเด็กๆที่แสดงว่าเข้าใจ จึงดำเนินการสนทนาต่อไป

ผมเล่าเรื่องการบาดเจ็บและการตาย

คราวแรกกะจะเล่าแบบสยองขวัญ แต่เมื่อเห็นผู้ฟังตัวเท่าลูกแมวนั่งอยู่ จึงเล่าเรื่องเจ้าหนู ๑๘ ปีที่ตายคาเตียงคลอดอย่างที่เล่าเมื่อวานซืนให้ฟัง แล้วถามว่า

“เค้าตาย ใครร้องไห้บ้าง” ผมสังเกตุเห็นสาวน้อยคนนั้นซับน้ำตา

เด็กๆ น่ารักมากนะครับ คนเสียใจคือใครบ้างถูกตอบมาคนแล้วคนเล่า ฝ่ายผู้ใหญ่ก็พยักหน้าเห็นด้วย

“นั่นดิ เสียใจกันมากเลยนะ จะบอกให้ว่า ชีวิตนี้ พี่เห็นคนตายเพราะทำแท้งเถื่อนมาหลายคน” เมื่อเข้าโหมดปกติ พี่แป๊ะก็มาอีกหน

“บางคนเป็นแม่ ที่มีลูกอายุเท่าๆ พวกน้องนี่แหละ ถามจริงเหอะ นี่ถ้าหากว่าแม่จะทำแท้ง เพราะอยากจะอยู่เลี้ยงพวกลูกๆ อยากให้ลูกได้เรียนหนังสือ อยากให้ลูกกินอิ่ม หมอถามจริงๆ จะให้แม่มาทำแท้งกับหมอมั้ย ทำกับหมอแป๊ะ แม่ไม่ตาย”

“ไม่ค่ะ” เจ้าหนูวัย ๑๑ ปีตอบเสียงดัง
“เฮ้ย แม่เธออาจจะตายได้นะ” เจ้าเพื่อนข้างๆ สะกิด
“อ้าวเหรอ แล้วแม่จะตายได้ไงล่ะ แม่เราไม่ได้ท้องสักหน่อย” เจ้าตัวงงว่าตัวเองตอบผิดตรงไหน
“เออ ถูกนะ” ผมหัวเราะเสียงดัง

“ผมไม่มีคำถามที่ ๓ แล้วนะครับ เพราะเวลาหมด เอาเป็นว่าทุกคนคงได้ทราบแล้ว ว่าผมคิดอย่างไรกับการท้องไม่พร้อม การบาดเจ็บการตายจากการทำแท้งเถื่อนยังมีอยู่จริง แต่พวกเราอาจจะไม่อิน จนกระทั่งวันหนึ่ง คนๆ นั้นคือลูกสาวของเรา” ผมนึกถึงคนกลุ่มหนึ่งเมื่อพูดถึงตรงนี้

“จบนะครับ อย่าลืมกลับมาสู่โลกของความเป็นจริง เมื่อกี๊คือเรื่องสมมติ”……………..

ผมกดมือถือเรียก grab car แต่ล้มเหลว เพราะไม่มีรถในละแวกนี้เลย 
แม่เจ้า! รถโคตรติด

ผมเห็นแถบแดงใน google map ชนิดแดงเถือกยาวไปถึงไหนต่อไหน ว่าแล้วก็เดินสิครับ เดินออกไปด้านหน้าแล้วค่อยว่ากัน ระยะทางกิโลเมตรนิดๆที่เดินออกมาก็ใช้เวลานิดเดียว อันที่จริงลมพัดเอื่อยๆ เดินสบายดีด้วยซ้ำ อากาศก็ไม่ได้แย่นัก แต่มัน 2.5 ไมครอนมั้ย 

ผมข้ามสะพานลอยมายืนรอรถหน้ากระทรวงยุติธรรม ตรงนี้ฝุ่นหนาหน่อย แต่รถทางด้านนี้เคลื่อนตัวดีทีเดียว 

ได้มาคันนึง สบายแล้ว แหม่..คิดในใจ หากไม่มีรถเลย ผมอาจจะเดินไปสนามบินก็ได้นะ มันเหลือแค่ ๖ กิโลเมตรเท่านั้นเอง ………………

“การประชุมระดับชาติ สุขภาวะทางเพศ ครั้งที่ ๓ การตั้งครรภ์ในวัยรุ่น จากยุทธศาสตร์สู่การปฏิบัติที่ยั่งยืนตลอดอายุขัยตราบจนกาลปาวสานนั้นเอย” ชื่อมันน่าจะตั้งให้ยาวประมาณนี้หากมาเพื่อฟังผู้บริหารกระทรวงเด็กน้อยเสวนาไปเมื่อบ่าย

หนทางการแก้ไขปัญหาเด็กท้องน่าจะยังคงเป็นมหากาพย์ นั่นคือผมคิดเอง
แต่ยังไงเสีย ผมก็ว่ามันยังดีกว่าเมื่อก่อนมากอยู่นะ พวกเราทำอะไรมาเยอะมาก ทีมกรมอนามัย แพทยสภา ราชวิทยาลัยฯ ทำอะไรมาเยอะจริงๆ เราไปไกลพอสมควร

เว้นแต่จะมีอุปสรรคอะไรมาให้สะดุดอีก …………..

“พ่อ ทำอะไร” เมียตัวน้อยตัวนิดเดินลงมาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเมื่อเห็นผมขลุกอยู่ในครัว แทนที่จะรีบขึ้นชั้นบนเหมือนทุกที

“พ่อจะกินหัวไชเท้าดิบ อยากขูดเหมือนกินในร้านญี่ปุ่นแต่ไม่มี” นั่นคือรำพึง
“เลยกะว่าจะปั่นกินสดๆนี่แหละ ใส่แอปเปิ้ล สตรอเบอร์รี่ น้ำส้มกล้วยน้ำว้า แค่นี้พอ” ทั้งไชเท้าและน้ำส้มกล้วยน้ำว้า น่าจะช่วยดีท็อกซ์ให้ได้บ้าง ดีท็อกซ์ได้ทั้งสารพิษจากภายนอกที่รับมาเมื่อช่วงเย็น และดีท็อกซ์พิษในใจที่เป็นสาเหตุของอาการเซ็ง มันคือการบำบัด

แล้วไงล่ะ เผ็ดสิครับ ถามได้
ไชเท้ากินสด โคตรเผ็ดแสบลิ้น

ธนพันธ์ ชูบุญสูดดมพีเอ็มสองจุดห้า
๒๘ มค ๖๒

ร่วมติดดาวให้เนื้อหาที่ท่านชื่นชอบ

คลิกที่ดาวเพื่อติดดาวให้เนื้อหานี้

จำนวนดาวเฉลี่ย 5 / 5. จากการติดดาวทั้งหมด 1

ยังไม่มีการติดดาวให้กับเนื้อหานี้... เป็นคนแรกติดดาวให้เนื้อหานี้