ผมมันเป็นพวกเจ้าคิดเจ้าแค้น เรื่องนี้พ่อรู้ดี ด้วยเหตุนี้นึ่เองที่ทำให้พ่อไม่ค่อยจะเล่าเรื่องราวของความขัดแย้งของครอบครัวพี่น้องของพ่อให้ฟังถ้าไม่จำเป็น แต่ก็แปลก ที่ก่อนพ่อจะตายไปเพียงไม่นานนั้น พ่อกลับเล่าเรื่องราวมากมายให้ผมฟัง กระทั่งการฝากฝังให้ช่วยดูแลแม่ ประหนึ่งพ่อจะรู้ถึงวันสุดท้ายของตัวเองและก็เป็นไปตามคาด ผมรู้สึกได้ถึงความเจ็บแค้นและฝังใจเจ็บ
………………………………………………………………………………………………..
“หมอแค่อยากจะบอกว่า ลักษณะของเซลล์มะเร็งที่เธอเป็นอยู่นั้นมันพบเป็นส่วนน้อย พบไม่บ่อยหรอก การรักษามันจึงไม่เหมือนคนอื่นๆ” ผู้หญิงที่ผมพูดคุยด้วยอยู่นั้นคือหญิงสาวที่มีแค่เกือบ ๔๐ ปี เธอกำลังต่อสู้อยู่กับโรคมะเร็งที่ปากมดลูกโดยการรับเคมีบำบัด อายุเธอยังน้อยเมื่อเทียบกับคนไข้คนอื่นๆที่เป็นโรคเดียวกับเธอ

“หมอว่าหนูจะอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่คะ”
“ไม่รู้ว่ะ ขึ้นอยู่กับสวรรค์ หมอกำหนดไม่ได้” ผมยิ้มให้ สำหรับคนที่ถามออกมาแบบนี้ย่อมมีอะไรน่าสนใจ

“แล้วเธอคิดว่ายังไงล่ะ”
“หมอที่นู่นบอกว่าอย่างเก่งก็ปีครึ่ง” เธออ้างถึงหมอประจำโรงพยาบาลจังหวัดที่ส่งตัวเธอมารักษา

“เอาอย่างนี้ ฉันจะเล่าให้ฟัง” ผมพยายามฟังเสียงตัวเองที่กำลังพูดผ่านหน้ากากอนามัย ว่ามันได้ยินสรรพเสียงจากปากชัดเจนแค่ไหน เพราะเรื่องที่จะพูดออกไปต่อจากนี้มันคือเรื่องสำคัญ

“ปกตินะ เวลาเราพูดเรื่องการรอดชีวิตจากมะเร็งนั้น เราไม่ค่อยจะบอกว่าเหลือชีวิตอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่หรอกนะเธอ” ผมหยุดเว้นช่วงนิดหนึ่ง

“เรามักจะดูกันเป็นช่วง ๕ ปี หมายความว่า หากคนเป็นมะเร็งอย่างเดียวกัน ระยะเดียวกันนั้นมีอยู่ร้อยคน ผ่านไป ๕ ปีจะเหลืออยู่กี่คน” ภาษาสละสลวยทางการแพทย์เรียกไอ้ที่ผมพูดไปนั้นว่า 5-year survival

“แล้วอย่างที่หนูเป็นอยู่นี่ล่ะคะ”
“แล้วเธอรู้ไหม ว่าตัวเองระยะที่เท่าไหร่”

“ระยะที่ ๓ ค่ะ” เธอตอบได้อย่างฉะฉาน
“ผ่านไป ๕ ปี ในร้อยคนน่าจะเหลือราว ๓๐” ผมก็ตอบออกมาอย่างฉะฉานเช่นเดียวกัน

“น้อยจัง” ผมได้ยินเสียงเธอพึมพำออกมาฉายแววตาวูบลงนิดหนึ่ง
“เดี๋ยวนะ ไอ้ที่ว่าเหลือ ๓๐ คนนั้น ไม่ได้หมายความว่า ๗๐ คนที่ตายไปนั้นจะตายจากมะเร็งทุกคนหรอกนะ” ผมยังคงสังเกตการตอบสนองของคนเบื้องหน้า

“จริงอยู่ที่บางคนอาจจะจากไปเพราะมะเร็ง แต่ส่วนหนึ่งอาจจะฆ่าตัวตาย โรคหัวใจ แก่ตาย รถชน อะไรทำนองนี้”
“ค่ะหมอ หนูทำใจมาระดับหนึ่งแล้ว เพราะรู้สึกว่าปีครึ่งนั้นมันก็เหลืออยู่น้อยมาก”

“แล้วเธอได้เตรียมอะไรไว้แล้วบ้างล่ะ”
“เรียบร้อยหมดแล้วค่ะหมอ ประมาณว่าถ้าหนูตายไป ลูกสามารถจัดการศพได้เลย รูปก็เตรียมไว้แล้ว ไว้ศพวันเดียวก็น่าจะเพียงพอ ไม่สิ้นเปลือง ญาติพี่น้องก็ไม่ได้มีมากมายหรอก”

“โห แค่วันเดียว ใครจะไปทำอะไรทัน” นี่ผมกำลังคุยเรื่องการจัดงานศพของคนไข้ที่ยังไม่ตายนะครับ เธอแต่เตรียมตัวสำหรับการตายเท่านั้นเอง

“แล้วแฟนเธอล่ะ”
“หนูเลี้ยงลูกด้วยตัวคนเดียวมาตั้งแต่ลูกทั้ง ๒ คนเกิดมาแล้วล่ะหมอ ผู้ชายคนนั้นเค้าไม่มีความรับผิดชอบหรอก”

“อยากเล่าให้ฟังไหม” ผมถามออกไป เพราะคาดเดาไม่ได้ว่ามันคือเรื่องที่เจ้าตัวเธออยากจะเล่าออกมาไหม

“ตั้งแต่ท้องลูกคนแรก เค้าก็จากหนูไป คลอดลูกคนแรกก็มาดูนิดเดียว จนทำหนูท้องลูกคนที่ ๒ คราวนี้เค้าก็จากไปตลอด ไม่เคยกระทั่งกลับมาดูลูก” เชื่อผมไหม ว่าผมไม่เห็นร่องรอยของความเศร้าที่หลงเหลืออยู่เลยในแววตาคู่นั้น ต่างจากคนไข้คนอื่นๆ ที่หากเรื่องนี้กระทบใจมากๆ ก็จะเป็นการเปิดฉากร้องไห้เป็นเรื่องเป็นราว

“หนูท้องลูกคนแรกตอนอายุ ๑๖” ผมกำลังคำนวณอย่างรวดเร็ว นั่นน่าจะอยู่ชั้น ม.๔
“แล้วทางโรงเรียนว่าไง เธอถูกไล่ออกไหม” ใช่สิ ในสมัยกว่า ๒๐ ปีนู้น ใครท้องตอนเรียนจะถูกไล่ออก

“ไม่มีใครรู้เลยค่ะ ว่าหนูท้อง”

“เฮ้ย..เป็นไปได้ยังไง ท้องนะเธอ ไม่ใช่อ้วน”

“เป็นไปได้ค่ะหมอ หนูเก็บท้องเอาไว้มิดชิด รัดเข็มขัดแน่นเปรี๊ยะ ใส่เสื้อหนาวไปโรงเรียนทุกวัน เพื่อนก็ดูไม่ออก”

“แล้วพ่อแม่ที่บ้านล่ะ”
“ไม่มีใครรู้ค่ะ ต่างคนต่างอยู่ ไม่มีใครสนใจใคร หนูอยู่กับน้า แม่อยู่อีกบ้านหนึ่ง” ผมกวาดตามองทีมที่ติดตามมาราวนด์ด้วยกัน ทุกคนมีสีหน้าที่แตกต่าง

“อึดอัดทรมานไหม”
“ที่สุดเลยค่ะหมอ แต่จะทำยังไงได้ล่ะ หนูไม่มีทางเลือกอะไรเลย”

“เธอไปคลอดที่โรงพยาบาลเลยทีเดียวใช่ไหม หมอกำลังเดาว่าเธอน่าจะไม่ได้ฝากท้องเช่นเดียวกัน”
“ไม่ค่ะ หนูคลอดเอง หนูเบ่งคลอดที่บ้าน คลอดในห้องของหนูเอง”

“เฮ้ย..จะบ้าไปแล้ว ไม่ร้องไม่โอดครวญเลยเหรอ คลอดลูกนะเธอ ไม่ใช่เบ่งขี้ท้องผูก ไหนจะเสียงเด็กร้องอีก”

“ไม่มีใครได้ยินค่ะ หนูเปิดเพลงเสียงดังลั่นเลย” แล้วความเงียบก็ปกคลุมรอบเตียงนั้น ทุกคนยืนนิ่ง เสียงหายใจผ่อนลมเบาๆ เล็ดรอดออกมาจากจมูกของใครบางคน ผมเข้าใจว่ามันคือการถอนหายใจ

“หนูโก้งโค้งสี่ขา” เธอทำท่าให้ดู
“แล้วลูกก็คลอดออกมา มันติดอยู่แค่หัวโผล่พักหนึ่ง หนูเอื้อมมือไปคลำดูได้หัวลูก จากนั้นก็เบ่งต่อสุดลมหายใจ แล้วลูกก็คลอดออกมาทั้งตัว” เธอกำลังสอนพวกเราเรื่องท่าคลอดลูกที่เรียกเป็นชื่อหรูๆ ว่า “ท่าสคว๊อท”

“แล้วเรื่องสายสะดือและรกทำยังไง”
“หนูทำอะไรไม่ถูกหรอกค่ะ ปล่อยไว้อย่างนั้น สักพักรกก็คลอดตามออกมา แล้วก็กอดลูกห่อผ้าไว้ รอจนเย็น น้าขึ้นมาดูจึงได้พาลูกหนูไปโรงพยาบาล”

“แล้วแม่ว่าไงบ้าง”
“พอหนูฟื้นตัว ก็อุ้มลูกไปที่บ้านให้แม่ดู” ผมมองหน้าเธอโดยไม่ได้พูดหรือถามอะไรออกไป เพียงแต่แสดงให้เห็นว่า เล่าต่อเถอะ ฟังอยู่

“เธอ ฉันเก็บเด็กคนนี้ได้ที่ปากซอย สงสารมัน ฉันจะรับมันเป็นลูกเลยนะ” เธอบอกว่า เธอพูดแบบนี้กับแม่ ส่วนผมก็ทำท่าฉงน
“หนูกับแม่มีสัมพันธภาพที่ไม่ดีต่อกันค่ะ หนูเรียกแม่ว่าเธอ เราคุยกันแค่เธอฉัน แค่นี้ค่ะ”

“แม่ก็คงรู้ค่ะ ว่านี่คือลูกของหนู แต่จะทำยังไงได้ล่ะคะ แกก็เลยไม่พูดอะไรสักคำ”
“แล้วผู้ชายล่ะ”

“มันไม่ได้ดูแลหนูหรอกค่ะ มันกลับขึ้นไปเรียนต่อที่กรุงเทพ มาหาหนูอีกที ลูกก็อายุเกือบขวบแล้ว มาแล้วก็ทำให้หนูท้องอีกรอบ และคราวนี้มันก็จากไปตลอดกาล”

“เธอเก่งนะ” ผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อไป

“ท้องที่ ๒ หมอก็เดาว่าคงเหมือนเดิมใช่ไหม ไม่มีใครรู้ และคลอดเองอีกรอบ”
“ใช่ค่ะ แต่หนูเก่งขึ้นนะหมอ คราวนี้หนูเตรียมด้ายไว้ผูกสายสะดือให้ลูกเองด้วย”

“เออ..เก่งก็เก่ง” ผมเออออห่อหมกไป รู้ทั้งรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ดีที่ทำแบบนั้นมา แต่จะให้ทำยังไงล่ะ ในเมื่อทุกอย่างมันเกิดขึ้นไปแล้วนี่นา

“ฉันยังอยากฟังเรื่องที่เธอเลี้ยงลูกบ้าง มันคงน่าสนใจไม่น้อยเลยเชียว” ผมส่งยิ้มไปให้

“หนูทำงานในห้างค่ะหมอ เก็บเล็กผสมน้อย ลูกหนูไม่ได้ขาดอะไรนะหมอ อยากได้อะไรหนูก็หาให้ แต่มันก็ดี มันรู้ว่าเรามีไม่พอหรอก มันก็ไม่ค่อยใช้เงิน แถมช่วยหนูเก็บเงินด้วย” บางครั้งผมก็รู้สึกได้ว่า คนบางคนที่ชะตาชีวิตมันโหดร้าย ก็มักจะได้อะไรดีๆกลับคืนมาบ้าง

“หนูเก็บเงินได้มากขนาดที่เพื่อนมาขอยืมไปใช้เลยนะหมอ แล้ววันหนึ่งมันก็บอกว่า ปล่อยกู้บ้างสิ จะได้ดอกเบี้ยมากกว่าให้ยืมเฉยๆ” ในเบื้องลึกของการทำงานนั้น เธอคนนี้จะหาลู่ทางในการทำงานเสมอมา เช่น การขอย้ายแผนกไปขายของที่ได้ค่าคอมมิชชั่นดีๆ หรือแผนกไหนที่น่าจะมีลูกค้าเยอะ งานเยอะ เธอจะไปตรงจุดนั้น

“หมอรู้ไหม ทำงานตั้งนาน เก็บเงินได้นิดเดียว กลายเป็นว่าปล่อยเงินกู้กลับได้เงินมีรายได้มากกว่าเยอะเลย หลังจากนั้นก็ปล่อยเงินกู้เลยค่ะหมอ”
“เออ..” เป็นการตอบรับการฟังที่ดูสั้นดี แต่กระชับมาก

“ลูกหนูเก่งนะหมอ ตอนนี้คนโตเรียนมหาวิทยาลัยเพิ่งจบ มันทำงานหาเงินมาตั้งแต่เรียนม.ปลาย ขายนู่นขายนี้ มีอะไรมีช่องทางขายได้ มันขายหมด” นั่นไงครับ ที่ผมบอกว่าเธอยังคงโชคดี น้ำเสียงและแววตาเธอบอกมาอย่างนั้น

“ใจหายไหม” ผมเบรคอารมณ์ได้อย่างทุเรศที่สุด
“ก็มีเหมือนกันนะหมอ เพราะถึงยังไง เราสามคนก็ต่อสู้มาด้วยกัน แต่หนูก็ยังรู้สึกวางใจได้ ว่าลูกคนโตมันดูแลตัวเองและน้องได้สบายมาก”

มาถึงตรงนี้ น้ำตาจากคนที่คิดว่าตัวเองเข้มแข็งที่สุดก็ร่วงผล๋อย ผมปล่อยให้การร้องไห้ได้เยียวยาเธอสักครู่หนึ่ง

“ลูกรู้ใช่ไหม”
“รู้ค่ะ รู้ทุกเรื่อง เวลาหนูมารักษาถ้าเค้าไม่ว่าง ก็จะจัดการเรื่องการเดินทางของหนูให้ทุกอย่าง”

“แล้วลูกรู้จักพ่อเค้าไหม”
“รู้ค่ะ แต่ก็ไม่ได้สนิท ต่างคนต่างอยู่”

“แฟนเธอรู้เรื่องการเจ็บป่วยนี้ด้วยไหม”
“รู้ค่ะ”

“แล้วเค้าว่าไง”
“ก็ไม่ว่าไงค่ะ เค้าก็มีครอบครัวของเค้าไป หมอรู้ไหม เค้ายังเคยมายืมเงินหนูไปใช้ด้วยนะ สภาพครอบครัวเค้าตอนนี้ก็ไม่ได้ดีอะไรหรอกค่ะ”

“ยังโกรธอยู่ไหม”
“ก็ไม่รู้เหมือนกันนะคะหมอ เพราะมันเองก็ลำบาก แต่งงานแล้วยังไม่มีลูกหนูรู้แค่นี้ หนูภาวนาให้เค้าได้มีลูกสักที จะได้รู้ว่า การต้องเลี้ยงลูกตอนยากจนนั้นมันทรมาน”

“หือ..” ผมอุทาน
“ใช่ค่ะหมอ หนูอยากให้เค้าได้รับรู้ว่าการมีลูกและต้องเลี้ยงลูกด้วยตัวเองอย่างโดดเดี่ยวนั้นมันทรมาน ลูกร้อง ลูกจะกินนม ลูกเป็นไข้ ลูกต้องไปโรงเรียน ลูกต้องใช้เงิน หนูอยากให้เค้าได้รับความเจ็บปวดเหมือนที่หนูเคยได้รับ”

“ออ..แบบนี้เรียกว่าแค้นฝังหุ่นเลยนะเธอ”
“หนูรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ค่ะ”

“หนักไหมล่ะ” ผมถามออกไปเพราะรู้ได้ ว่าการแบกความแค้นนั้นมันหนัก ประสาคนเจ้าคิดเจ้าแค้นอย่างผมรับรู้ความรู้สึกนี้ได้อย่างดี

“แล้วแม่เธอล่ะ รู้เรื่องเธอป่วยบ้างไหม” ผมล่ะรู้สึกกลัวเหมือนกันที่ถามคำถามนี้ออกไป
“รู้ค่ะ แต่ไม่ได้รู้มากมายนัก แกคงรู้แค่ว่าหนูป่วย”

“ไม่คิดจะบอกแม่เลยเหรอ”
“ไม่ค่ะ” เป็นคำตอบที่สั้นมากตั้งแต่คุยกันมา

“มีพี่น้องกี่คนเหรอเธอ”
“๓ คนค่ะ หนูเป็นคนกลาง หนูกับแม่เหมือนแม่เหล็กขั้วเดียวกัน เราไม่เคยถูกกัน เราเข้าใกล้กันไม่ได้ เหมือนกับว่าเราทั้งคู่เกิดมาเพื่อใช้เวรกันและกัน หมอเชื่อเรื่องนี้ไหม” คราวนี้ผมไม่ได้ตอบคำถาม มันรู้สึกหนักอึ้ง เรื่องแบบนี้ผมไม่อิน เพราะตั้งแต่จำความได้ก็รับรู้มาตลอดว่าแม่รักผมมาก

“วันที่เราขาดกันก็คือวันที่พี่ชายมันมายืมเงินหนูไป แล้วมันไม่คืน หนูไปทวงเงินแล้วถูกแม่ด่ากลับมา กลายเป็นหนูผิดที่ไปทวงเงินพี่ หมออาจจะไม่รู้ ว่าเงินนั้นมันมากขนาดไหน น้ำพักน้ำแรงหนูทั้งนั้น” นี่คงเป็นอีกรอบที่เราต้องยื่นกระดาษทิชชู่ให้เธอซับน้ำตา

“เมื่อไหร่จะถึงเวลาให้อภัยล่ะ”
“ไม่มีมั้งหมอ” เธอยังคงสะอื้นต่อไป แต่มันก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เพราะหลังจากนั้นผมก็เห็นแววตาที่เด็ดเดี่ยวฉายมาเหมือนเดิม
………………………………………………………………………………………………..

ผมรู้สึกได้ถึงความเจ็บแค้นและฝังใจเจ็บ เรื่องที่พ่อเล่าให้ฟังมันทำให้ผมโกรธพี่ๆ ของพ่อบางคน โกรธ ไม่พูดด้วย ไม่มองหน้า ไม่เสวนา ไม่สวัสดี “จองหอง” พี่สาวของพ่อคนหนึ่งว่าผมออกมาในวันที่จัดงานศพให้พ่อ ผมตัดตัวเองออกจากญาติของพ่อบางคน ไม่ยินดียินร้ายต่อการเข้ามาทักทาย นั่นเป็นเพียงเพราะการรับรู้ความเจ็บปวดของพ่อ ตอนนั้นผมรับมาแบกมันต่อทั้งๆ ที่พ่อก็ตายไปแล้ว และผมก็มีความเชื่อเหลือเกิน ว่าพ่อไม่ได้ต้องการให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้

ผมยังคงแบกความเจ็บช้ำและความแค้นเอาไว้ตลอดมาโดยไม่ได้รู้ตัวเลยว่า “มันหนัก” กระทั่งในวันหนึ่ง มันมีเหตุการณ์ที่ผมยังจำได้ติดตา พี่ของพ่อมายืนรอผมในงานงานหนึ่ง ซึ่งก่อนหน้านั้นผมพยายามจะถามตัวเองว่าจะไปร่วมงานดีไหม ถ่วงเวลาให้ไปในงานช้าๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องการพบใครๆ

ผมจำสีหน้าและท่าทางของผู้ซึ่งเป็นลุงและป้าในช่วงเวลาแวบแรกที่พบว่าผมมาร่วมงานได้ ผมจำรอยยิ้มนั้นได้ มันเหมือนรอยยิ้มของพ่อ ผมถูกพาไปที่โต๊ะอาหาร อาหารทั้งหมดบนโต๊ะถูกจัดเตรียมไว้ให้ผมคนที่พวกเขารอคอย คงเป็นครั้งแรกในรอบกว่าสิบปีกระมัง ที่ผมยกมือสวัสดี ผมรู้สึกแปลกใจถึงความรู้สึกโล่งอก

“พ่อ..” ผมเอ่ยขึ้นมาขณะขับรถกลับบ้าน ผมเรียกพ่อ ทั้งๆ ที่พ่อตายไปนานโขแล้ว และผมก็รู้ว่าพ่อไม่ได้ยินหรอก
หรือว่าผมกำลังพูดกับตัวเอง

“พ่อ..แป๊ะอภัยให้พี่ของพ่อแล้วนะ พ่อสบายใจได้เลย” ผมยังคงพูดคนเดียวขณะที่เบี่ยงหัวรถเข้าทางแยกหลักเพื่อมุ่งหน้าสู่เมืองหาดใหญ่ด้วยหัวใจพองโต มันเบา
นี่ผมแบกมันไว้ตั้งนานเชียวเหรอ…..

“เธอรู้ไหม ว่าวันหนึ่งที่เธอวางมันได้ เธอจะรู้สึกเบาลงมาก” ผมบอกเธอไปอย่างนั้นผมยังจำวันนั้นได้ ช่วงเวลาผมพูดกับพ่อ หรืออีกนัยหนึ่งคือผมพูดกับตัวเอง วินาทีนั้นมันทำให้ผมเบา เบาจริงๆ

“ไม่หรอกค่ะหมอ หนูยังจดจำความรู้สึกเจ็บปวดที่ผ่านมาได้ทั้งหมด หนูไม่สามารถหลอกตัวเองได้ว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น” ผมกำลังมองเห็นภาพเด็กสาวที่ตั้งท้องขณะเรียนหนังสือ เธอถูกผู้ชายทอดทิ้ง เธอทุกข์ทรมานจากการต้องรัดคาดท้องไม่ให้มันโตขึ้นมา เธอต้องคลอดด้วยตัวเองอย่างเดียวดาย เธอไม่ได้รับการแยแสจากคนในครอบครัว เธอเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง และใช่เลย เธอสู้ชีวิตด้วยตัวเองมาตลอด และตอนนี้เธอกำลังเป็นโรคร้าย และแน่นอนว่านาฬิกาชีวิตของเธอเหลืออยู่ไม่มากแล้ว เวลาเริ่มนับถอยหลัง

“ใช่ มันเคยเกิดขึ้น ฉันก็ไม่ได้ให้เธอหลอกตัวเอง แค่ลองเปลี่ยนเป็นการปล่อยวาง ของแบบนี้ฝึกได้ อีกอย่าง เพราะพวกเขาเป็นเช่นนั้น เธอและลูกจึงมีชีวิตที่ดีขึ้นได้ด้วยตัวเอง พวกเธอทั้ง ๓ คนเก่งได้เพราะคนรอบข้างเหล่านี้แหละ” ผมไม่ได้รู้สึกว่าเธอจะเข้าใจหรือยอมรับ แต่ก็นั่นแหละ เรื่องแบบนี้มันคือต้นทุนของชีวิต เธอไม่ใช่ผม และผมก็ไม่เคยมีชีวิตอย่างเธอ

ดังนั้นในวันนี้ การคุย การฟัง และการยอมรับการตัดสินใจของเธอจึงน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ได้เจอกัน มิใช่หรือ…..

“จ้าครับ ช่วยวาดรูปคนคลอดลูกให้พ่อหน่อย”
“อะไรนะพ่อ”
“พ่อจะเอามาใส่ในเรื่องเล่า”
“จ้าไม่มีกระดาษติดตัวในตอนนี้เลย”
“วาดใส่กระดาษอะไรก็ได้” ผมยังคงต่อรอง

“พ่อ..จ้าอยากกินบัวลอย”
“ก็สั่งมากินสิ”จบกัน ขอให้วาดรูป แต่ท้ายที่สุดต้องมานั่งกินบัวลอยกับมันตอนห้าทุ่มก็มีความสุขดี มิใช่หรือ

ธนพันธ์ ชูบุญอันที่จริงก็ยังมีแค้นฝังใจให้แบกอยู่ไม่จบไม่สิ้นเหมือนปู่โสมเลย หึหึหึ ๒๗ พย ๖๓

ขอบคุณเรื่องราว โดย คุณหมอธนพันธ์ ชูบุญ https://facebook.com/thanapan.choobun



ร่วมติดดาวให้เนื้อหาที่ท่านชื่นชอบ

คลิกที่ดาวเพื่อติดดาวให้เนื้อหานี้

จำนวนดาวเฉลี่ย 4.2 / 5. จากการติดดาวทั้งหมด 5

ยังไม่มีการติดดาวให้กับเนื้อหานี้... เป็นคนแรกติดดาวให้เนื้อหานี้