เมนส์ไม่มา (ประจำเดือนไม่มา): คู่มือครบวงจรสำหรับผู้หญิงทุกวัย

ประจำเดือนไม่มาคืออะไร และเกิดขึ้นได้อย่างไร

ประจำเดือนไม่มา หรือที่เรียกในทางการแพทย์ว่า “ภาวะขาดประจำเดือน (Amenorrhea)” หมายถึง การหายไปของประจำเดือนในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ ภาวะขาดประจำเดือนปฐมภูมิ ซึ่งเป็นกรณีที่ผู้หญิงอายุ 18 ปีแล้วแต่ยังไม่เริ่มมีประจำเดือนเลย และภาวะขาดประจำเดือนทุติยภูมิ ซึ่งเป็นกรณีที่ผู้หญิงเคยมีประจำเดือนมาก่อน แต่ต่อมาประจำเดือนขาดหายไปอย่างน้อย 6 เดือน หรือ 3 รอบเดือนโดยที่ไม่มีการตั้งครรภ์ โดยปกติแล้วรอบประจำเดือนจะมีระยะห่างระหว่าง 24-38 วัน หากประจำเดือนไม่มาหรือเลยรอบที่นับได้ เพื่อความสบายใจควรเข้าพบสูตินรีแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยอาการและโรคที่อาจเกิดขึ้น เพราะการขาดประจำเดือนอาจเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาสุขภาพและโรคต่างๆ ได้

สาเหตุหลากหลายของการขาดประจำเดือน: ตั้งแต่ธรรมชาติจนถึงปัญหาสุขภาพ

สาเหตุของประจำเดือนไม่มามีหลากหลาย โดยสาเหตุที่พบบ่อยและเป็นปกติ ได้แก่ การตั้งครรภ์ซึ่งเป็นข้อสันนิษฐานอันดับแรกเสมอเมื่อประจำเดือนไม่มา การให้นมบุตร และการเข้าสู่วัยทองซึ่งพบในช่วงอายุ 45-55 ปี เนื่องจากระดับฮอร์โมนเริ่มลดลงทำให้ไข่ตกไม่สม่ำเสมอหรือไม่ตกเลย นอกจากนี้ยังมีสาเหตุจากปัจจัยชีวิตประจำวัน เช่น ความเครียดที่ส่งผลให้ต่อมเหนือสมอง (Hypothalamus) ทำงานผิดปกติ การออกกำลังกายหนักเกินไป การอดอาหาร การมีน้ำหนักตัวน้อยไปหรือมากเกินไป การใช้ยาคุมกำเนิด และความไม่สมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย เช่น เทสโทสเตอโรนสูงและฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำ สาเหตุทางการแพทย์ที่พบได้แต่ไม่บ่อยนัก ได้แก่ ความผิดปกติของต่อมใต้สมอง (Pituitary gland) การมีเนื้องอกที่ต่อมใต้สมอง รังไข่เสื่อมก่อนกำหนด การป่วยเป็นโรคทางพันธุกรรม และภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่

อาการแสดงและสัญญาณเตือนที่ควรสังเกต

เมื่อประจำเดือนไม่มา อาการแสดงหลักคือการขาดประจำเดือนติดต่อกัน แต่อาจมีอาการประกอบอื่นๆ ขึ้นอยู่กับสาเหตุต้นตอ หากเป็นเพราะการตั้งครรภ์ อาจมีอาการ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เนื่องจากมีความรู้สึกไวต่อกลิ่นต่างๆ โดยเฉพาะกลิ่นของอาหาร เต้านมโตขึ้น คัดตึง และอ่อนไหว ท้องอืด ท้องเฟ้อ เพราะการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนจะส่งผลให้เกิดอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย อารมณ์แปรปรวนง่าย ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ดีใจ เสียใจ หดหู่ หรือกังวล และเหนื่อยง่าย เพลีย อยากนอนมากขึ้น หากเป็นเพราะปัญหาต่อมใต้สมอง อาจมีอาการน้ำนมไหลออกมาทั้งๆ ที่ไม่ได้อยู่ในช่วงให้นมบุตร หากผู้หญิงคนไหนประจำเดือนไม่มาติดต่อกัน 3 เดือนขึ้นไป หรือมีอาการผิดปกติประกอบ ควรพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและรักษาที่เหมาะสม

วิธีตรวจสอบการตั้งครรภ์ด้วยตนเอง: เครื่องมือและข้อควรรู้

เมื่อสงสัยว่าประจำเดือนไม่มาเพราะการตั้งครรภ์ สามารถตรวจสอบด้วยตนเองโดยใช้ชุดทดสอบการตั้งครรภ์ที่มีจำหน่ายทั่วไปตามร้านขายยา มี 3 ประเภทหลัก คือ ชุดตรวจแบบจุ่ม ที่ประกอบด้วยถ้วยตวงปัสสาวะและแผ่นทดสอบ วิธีใช้คือปัสสาวะใส่ลงในถ้วยตวง แล้วนำแผ่นทดสอบจุ่มลงไปประมาณ 3-5 วินาที จากนั้นรอประมาณ 5 นาที จึงอ่านผล ชุดตรวจแบบปากกา ที่ใช้งานง่าย โดยถือแท่งตรวจให้หัวลูกศรชี้ลงพื้น แล้วปัสสาวะผ่านบริเวณที่ต่ำกว่าลูกศรให้ชุ่มประมาณ 30 วินาที จากนั้นรอ 3-5 นาที และชุดตรวจแบบหยด ที่ใช้หลอดหยดดูดปัสสาวะแล้วหยดลงในตลับตรวจประมาณ 3-4 หยด การอ่านผลจะดูที่แถบ C (Control Line) และ T (Test Line) หากขึ้น 1 ขีดที่ C แปลว่าไม่ท้อง หากขึ้น 2 ขีดทั้ง C และ T แปลว่าตั้งครรภ์ ควรตรวจหลังประจำเดือนขาด 1 สัปดาห์ หรือหลังเพศสัมพันธ์ 14 วัน และควรใช้ปัสสาวะตอนเช้าเพื่อให้ฮอร์โมน hCG เข้มข้นที่สุด

การตรวจสอบที่โรงพยาบาล: ความแม่นยำและข้อมูลเพิ่มเติม

แม้ว่าชุดตรวจตั้งครรภ์ด้วยตัวเองจะมีความแม่นยำถึง 99% แต่การตรวจที่โรงพยาบาลจะให้ข้อมูลที่ครบถ้วนและแม่นยำมากกว่า มีวิธีการตรวจ 3 แบบ คือ การตรวจเลือดหาระดับฮอร์โมน hCG ซึ่งสามารถตรวจพบการตั้งครรภ์ได้เร็วที่สุดตั้งแต่วันที่ 7-12 หลังการปฏิสนธิ และจะบอกค่าเป็นตัวเลขชัดเจนว่าฮอร์โมนขึ้นมาเท่าไร การตรวจปัสสาวะที่โรงพยาบาล ซึ่งจะได้ผลแม่นยำ 100% หากตรวจหลังจากประจำเดือนมาครั้งสุดท้ายไปแล้ว 35-40 วัน และการตรวจอัลตราซาวด์ ซึ่งสามารถทำได้ 2 แบบคือผ่านหน้าท้องและผ่านช่องคลอด โดยจะเริ่มมองเห็นถุงการตั้งครรภ์ได้ตั้งแต่อายุครรภ์ประมาณ 5-6 สัปดาห์ และเริ่มมองเห็นการทำงานของหัวใจทารกได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 7-8 สัปดาห์ วิธีนี้ยังช่วยยืนยันว่าตั้งครรภ์ในมดลูกหรือนอกมดลูก ตรวจหาความผิดปกติต่างๆ และสามารถระบุอายุครรภ์ได้อย่างแม่นยำ

การจัดการและการรักษา: แนวทางที่เหมาะสมกับสาเหตุแต่ละประเภท

การรักษาประจำเดือนไม่มาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุที่แท้จริง หากเป็นเพราะการตั้งครรภ์ ให้วางแผนการดูแลสุขภาพทั้งตนเองและครรภ์ หรือพิจารณาทางเลือกอื่นตามความเหมาะสม หากเป็นเพราะไข่ไม่ตกออกมาจากรังไข่ ซึ่งพบได้บ่อยในหญิงวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ การรักษาคือให้ยาฮอร์โมนกลุ่มโปรเจสเตอร์โรนกิน ก็จะมีประจำเดือนออกมาตามปกติ หากเป็นเพราะปัญหาต่อมใต้สมองหรือมีเนื้องอก แพทย์จะทำการเจาะเลือดหาระดับฮอร์โมนโปรแลคติน และอาจต้องตรวจเพิ่มเติมด้วย MRI หากจำเป็น หากเป็นเพราะความเครียด การออกกำลังกายหนักเกินไป หรือการอดอาหาร ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยการลดภาวะเครียด พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารให้ครบถ้วนและเหมาะสม รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้สมดุลฮอร์โมนดีขึ้นและทำให้ประจำเดือนมาสม่ำเสมอ สำหรับผู้ที่มีรังไข่เสื่อมก่อนกำหนด สามารถรักษาด้วยยาคุมกำเนิดแบบเม็ดหรือกลุ่มยาฮอร์โมนทดแทนได้