เรื่องเล่าจากห้องน้ำสาธารณะ
เรื่องที่สอง “โรงแรม”
อย่างที่บอกไปเมื่อวาน ว่าผมขึ้นมากรุงเทพฯ ครั้งนี้เพื่อประชุมเรื่องการจัดบริการทำแท้ง งานนี้ถูกจัดขึ้นที่โรงแรมแห่งหนึ่งในถนนสุขุมวิท ผมได้ร่วมเป็นวิทยากรพูดเรื่องการใช้หลอดดูดสุญญากาศแทนเหล็กขูดแบบโบราณ เนื้อหาในการประชุมมันดีมาก เริ่มจากภาพรวมของการทำแท้ง อันตรายจากการทำแท้ง มุมมองของผู้ที่เจอคนมาขอทำแท้ง
อันหลังนี่น่าสนใจ เพราะบรรดาน้องๆ หมอและพยาบาลที่มาร่วมอบรมนั้น บางคนอาจจะยังรู้สึกกระอักกระอ่วน ผมสงสัยว่าพวกเขาอาจถูกขอให้มาเพราะพี่ๆ ไม่อยากมาก็เป็นได้
ในช่วงก่อนเที่ยงนั้นทีมผู้บรรยายได้นำแบบสอบถามขึ้นมาให้ทุกคนลองทำดู มันคือกรณีศึกษา ๗ ข้อ อยากลองทำดูไหมครับ ว่าอ่านแล้วรู้สึกว่าผู้หญิงทั้ง ๗ คนนั้นสมควรได้รับการทำแท้งให้ตามการร้องขอของเธอหรือไม่
๑. “หนู” ท้อง และพบว่าทารกในครรภ์ไม่มีกระโหลก
๒. “สวย” ถูกข่มขืน ขณะเดินกลับบ้านตอนกลางคืน ตั้งท้อง
๓. “เอ๋ย” ตั้งท้อง เธอเป็นโรคไตวายเรื้อรัง และถูกฟอกไตทุก ๓ วัน (ยังอุตส่าห์ท้องได้อีก…อันนี้ผมเสริมเอง)
๔. “ฟ้า” อายุ ๑๔ ปี ท้องกับรุ่นพี่โรงเรียนเดียวกัน
๕. “หน่อง” มีลูก ๕ คน ฐานะยากจน ท้องนี้จะเป็นลูกคนที่ ๖ เธอไม่สามารถเลี้ยงดูได้อีกต่อไป
๖. “จุ๋ม” กำลังเรียนอยู่ชั้น ม.๖ ตั้งท้อง เธอและแฟนอยากให้ทำแท้ง
๗. “หมิว” ฉีดยาคุมกำเนิดมาตลอด และตั้งท้องขึ้นมาทั้งๆที่ไม่เคยผิดนัดการฉีดยาเลย
ลองคิดและตรองดูครับ ว่าถ้ามีคนเหล่านี้มาขอการปรึกษาว่าจะทำแท้ง เราคิดกับพวกเธอว่าอย่างไร
…ผมควรเว้นวรรคให้ลองคิดดูกันก่อนดีไหม…
คนที่มาอบรมส่วนใหญ่มีความเห็นว่า ข้อที่ ๑-๓ นั้น เป็นข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ที่สมควรทำแท้งให้ ในขณะที่อีก ๔ คนด้านล่างนั้นเริ่มมีเสียงแตก บ้างก็เห็นด้วย บ้างก็รู้สึกว่าไม่เห็นด้วย “มันควรจะมีทางเลือกอื่นๆ อีกไม่ใช่เหรอ ไม่ใช่ท้องแล้วเกิดปัญหาทางสังคมแล้วต้องมาลงเอยด้วยการท้อง” นั่นไง
“สำหรับฟ้าและจุ๋ม ควรหาที่รับเลี้ยงเด็กให้ก่อน เมื่อพร้อมแล้วค่อยมารับลูกไปอยู่ด้วย” เสียงตอบออกมา
ถึงตอนนี้ ผมนึกไปถึงเด็กที่อยู่ในบ้านเด็กกำพร้า สถานที่ที่ผมไปเหยียบได้เพียงครั้งเดียว แล้วไม่เคยกลับเข้าไปอีกเลย
“สำหรับหน่อง ครอบครัวไทยเป็นครอบครัวอุปถัมป์ ความยากจนสามารถเกื้อกูลกันได้” ไม่รู้เป็นไง ทำไมผมรู้สึกน้ำลายฝืดคอ ความยากจนคือสิ่งที่เข้าใจได้ยากหากเราไม่เคยจนมาก่อน
“ส่วนหมิว เธอควรรู้ก่อนฉีดยาคุมไหม ว่าไม่มีการคุมอะไรเลยที่จะได้ผล ๑๐๐ เปอร์เซนต์ ดังนั้นการท้องจึงเกิดขึ้นได้ ทำหมันยังท้องได้เลย” ใช่ครับ ครูผมก็สอนมาแบบนี้ แต่ที่บ้านผม ผมไม่ได้สอนลูกศิษย์แบบนี้เลย
เอาเป็นว่า ผมก็ทำแบบทดสอบนี้เหมือนกัน และทุกท่านก็คงจะเดาถูก ว่าผมทำแท้งทุกกรณี เพราะผมดูแลผู้หญิงที่มีปัญหาไง เพียงแต่ตอนนี้ มันทำไม่ได้ไง เข้าใจไหม ว่าทำไม่ได้ เรียกได้อีกอย่าง ว่าเก่งแต่ปาก! ฮ่า ฮ่า
“เราไม่ได้อยากสนับสนุนให้มีคนมาทำแท้งเยอะๆ แต่เราอยากให้ช่วยหันมามองกันว่าจะช่วยเหลือคนที่ท้องไม่พร้อมได้อย่างไร” คือประโยคที่จับใจมากจากอาจารย์อาวุโสท่านหนึ่ง
ใช่ครับ การทำแท้งเป็นเรื่องง่ายในมือพวกผม การทำแท้งไม่ใช่เรื่องสนุก สิ่งที่ควรจะต้องทำ คือต้องเข้าใจ “ว่ามันคือหน้าที่” และเมื่อไหร่ที่เราเข้าใจและทำตามหน้าที่ นั่นก็คือการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่งเช่นเดียวกัน
ในช่วงบ่าย งานประชุมเริ่มจากการบรรยายของอาจารย์คณะนิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่านอธิบายว่าการทำแท้งมันผิดกฎหมายอย่างไร กฎหมายมีข้อยกเว้นอะไรบ้างที่จะให้พวกผมทำแท้งคนไข้ได้ เช่น คนท้องมีปัญหาสุขภาพทางกาย เจ็บป่วยทางจิต อาจารย์บอกว่า ในมุมมองของนักกฎหมายนั้น จิตผิดปกติคือเรื่องของสมอง สารเคมีที่ผิดปกติจนเกิดโรคได้นั่นแหละคือความผิดปกติ ยกตัวอย่างเช่น ความซึมเศร้า นอกนั้นก็ หญิงถูกข่มขืน เด็กอายุไม่ถึง ๑๕ ปีบริบูรณ์ (แม้สมยอม เพราะประเทศไทยเราพิทักษ์ผู้เยาว์เสมอ) นั่นหมายความว่า น้องฟ้าในข้อ ๔ ด้านบน ย่อมได้รับความคุ้มครองและร้องขอให้ทำแท้งได้ตามกฎหมายอาญานั่นเอง และอันสุดท้ายคือการท้องเนื่องจากการมีการจัดหา เช่น การขายตัว ล่อลวง บังคับ เป็นต้น
“หัวข้อนี้มันคงจะน่าเบื่อ” ผมคิดล่วงหน้าไว้ก่อน แต่ขอโทษ มันสนุกจนไม่กล้าลุกออกไปฉี่ อั้นไว้ก่อน อั้นไว้ก่อน กาแฟเริ่มออกฤทธิ์
ต่อจากเรื่องกฎหมาย ก็เป็นเรื่องที่บรรยายโดยอาจารย์พยาบาลซึ่งเป็นตัวแทนมาจากสภาพยาบาล ผมก็คาดไว้ล่วงหน้าเหมือนเดิมว่ามันคงจะน่าเบื่อเช่นเดียวกัน แต่ต้องขอโทษอีกครั้งเพราะผมคิดผิด
อาจารย์พูดเรื่องหน้าที่ของพยาบาล พูดเรื่องจรรยาบรรณ มันจับใจมากนะครับ อาจารย์พยาบาลท่านนั้นบอกว่า คนที่มาทำแท้งเค้ามีปัญหา มันไม่ใช่หน้าที่ของพยาบาลหรือใครก็ตามที่จะไปตัดสินดีชั่วในตัวเขา เพราะเราไม่ใช่เขา ไม่ใช่กระทั่งคนในครอบครัวเขา พยาบาลคือคนที่ดูแลทุกข์สุข ดูแลและให้เกียรติคนไข้ การพยาบาลคือหน้าที่ หมอเป็นคนทำแท้ง พยาบาลคือผู้ support support ทั้งหมอ support ทั้งคนไข้ มันคือหน้าที่ที่สำคัญ นอกจากนั้น คือการรักษาความลับของคนไข้ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญเช่นเดียวกัน
ถึงตอนนี้ ผมนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่ตัวเองได้เจอมาเมื่อราว ๓ ปีที่แล้ว ทำไมตอนนั้นผมไม่ได้เจออาจารย์ น่าเสียดายจริงๆ ผมนี่น้ำตาคลอเบ้า น้ำตาคลอจริงๆ นะครับ ไหนจะซาบซึ้ง (ถึงหน้าที่และจรรยาบรรณพยาบาล)
และไหนจะปวดฉี่ที่สะสมไว้ตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้ว ซึ่งตอนนี้กระเพาะเยี่ยวมันแทบจะแตก ตัดสินใจไหว้อาจารย์ทีหนึ่ง แล้วค่อยๆ ย่องเดินออกจากห้องประชุมไป เดินตัวตรงไม่ไหว เดินเร็วๆ ก็ไม่รอด ถึงส้วมของโรงแรมแล้ว ค่อยๆ ถ่างขาเพื่อการทรงตัวที่ดี รีบรูดซิป ล้วงเจี๊ยว รูดเปิดหนังหุ้มปลายให้หัวโผล่ แล้วปล่อยฉี่
อูย…มันฟินมาก เล่นเอาเคลิ้มตาลอย
“อ่า…”
มันคือเสียงครางเหมือนกัน แต่ไม่ใช่เสียงของผม มันอยู่ด้านหลัง
ผมเหลียวมองไปยังส้วมที่เรียงตัวอยู่ข้างหลัง มันคือส้วมที่เรียงกันอยู่ราว ๖ ห้อง
“อ่า…”
เสียงครางขึ้นจมูกเหมือนคนที่กำลังเบ่งขี้แล้วขี้มันออกมาสมความปรารถนา คนเบ่งถึงกับครางออกมาด้วยความฟิน เคยเป็นกันใช่ไหมครับ นั่นแหละ เสียงแบบนั้นเลย
“อ่า…”
ยัง ยังไม่เลิก ผมรู้สึกเหมือนมีคนมาเบ่งขี้อยู่ด้านหลัง
ทำไมผมเริ่มฉี่อย่างไม่มีความสุข ทั้งๆที่เมื่อกี๊ก็ยังคงฟินอยู่เลย
ใช่แล้ว ประตูส้วมมันเปิดอยู่ทุกบาน ใครจะมานั่งขี้โดยที่เปิดประตูส้วมเปิดหราอยู่ทุกบานอย่างนั้น ฉี่เจ้ากรรมมันก็ช่างเยอะ ผมพยายามเบ่งฉี่ เบ่งบ้าเหมือนคนเป็นต่อมลูกหมากโต แต่เบ่งยังไงมันก็ยังคงพุ่งออกด้วยกำลังเท่านั้น รูท่อเยี่ยวมันไม่ได้ใหญ่ขึ้นตามการเบ่งสักหน่อย ไอ้เสียง “อ่า…” บ้านั่น มันก็ยังคงครางอยู่ด้านหลัง แล้วการฉี่ก็สิ้นสุดลงอย่างทรมาน ไม่สะบ่งสะบัดมันแล้ว จับเจี๊ยวมุดกลับเข้าไปในกางเกงในได้ รูดซิป แล้ววิ่งออกจากส้วมเลย ผมคงน่าจะเจอ “ผีขี้แตกเบ่งจนฟิน” เข้าให้เสียแล้ว บ้าเอ๊ย…
เดินกลับเข้าห้องประชุมเหงื่อซึม แต่ตัวเย็นเฉียบ อาจารย์พยาบาลท่านนั้นกำลังตอบคำถามจากผู้ร่วมอบรมอยู่
ผมทักทายยกมือรับไหว้ จับมือทักทายกับผู้ร่วมประชุมบางท่านที่เดินเข้าเดินออก นั่นก็คงจะไปห้องน้ำเช่นกันกระมัง หลายคนผมรู้จัก หลายคนเป็นคนใหม่ เดี๋ยวจะถึงรอบที่ผมต้องขึ้นบรรยายแล้ว
เอ๊ะ…เมื่อกี๊ผมล้างมือรึยังวะ
ธนพันธ์ ชูบุญไข่ชื้นไม่ได้สะบัด
๒๒ มค ๖๓
ขอบคุณที่มา : https://bit.ly/2GhWNaI