เรื่องเล่าจากหมอให้บริการยุติการตั้งครรภ์ (ตอนที่ 2)
ความเดิมตอนที่แล้ว https://rsathai.org/contents/16114

ตอบประเด็นสั้นๆ หมอเชื่อเรื่องบาปบุญและกรรม หมอเป็นคนขี้กลัว กลัวทำผิด กลัวรักษาคนไข้แล้วไม่หาย กลัวๆๆๆ หมอกลัวผี หมอรู้ว่า การยุติการตั้งครรภ์ เป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ หมอพยายามหาทางแก้ที่ต้นเหตุด้วย …แต่หญิงที่ท้องไม่พร้อมอยู่ตรงหน้า ถ้าการยุติการตั้งครรภ์ถูกต้องตามหลักการทางการแพทย์ หมอจะไม่ทำได้อย่างไร

ปัจจุบันการยุติการตั้งครรภ์ในหัวข้อ “ไม่พร้อม”
สามารถทำได้ถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อตั้งครรภ์โดยไม่พร้อม โปรดทำตามขึ้นตอนนี้

  1. โทรติดต่อ 1663 เพื่อขอรับการประเมินใกล้บ้าน
  2. รับการประเมินโดยแพทย์ 2 ท่าน โดยการประเมินนี้มีจุดประสงค์เพื่อดูว่า การตั้งครรภ์ในครั้งนี้ มีผลต่อทางร่างกาย หรือจิตใจของคนไข้หรือไม่ หากแพทย์ 2 ท่านมีความเห็นตรงกัน ก็สามารถดำเนินการยุติการตั้งครรภ์ต่อไปได้
  3. ยุติการตั้งครรภ์โดยใช้ยา หรือ การดูดสุญญากาศ (แทนการขูดมดลูกในอดีต) ส่วนการรยุติการตั้งครรภ์ในประเด็นอื่นๆ เช่น ตัวอ่อนในครรภ์ผิดปกติ หญิงตั้งครรภ์มีโรคประจำตัวรุนแรงเกินที่จะตั้งครรภ์ต่อไปได้ หรือตั้งครรภ์ภายหลังการทำหมัน เป็นต้น สามารถทำการยุติการตั้งครรภ์ได้อยู่แล้ว (โปรดอ่านต่อให้จบ)

ทุกวันนี้ผมรู้สึกท้อใจเหมือนกัน คนที่ได้ยินว่าผมทำแท้ง ก็มองผมด้วยอคติ ตอนนี้ยังดีที่คนเหล่านั้นไม่แสดงออก แต่ผมรู้ ผมได้ยิน และผมสัมผัสได้ ผมไม่ใส่ใจอะไรกับความคิดของคนอื่นนะ ผมห้ามความคิดเหล่านั้นไม่ได้ และผมก็ไม่เคยคิดที่จะต้องไปอธิบาย แต่เมื่อถึงจุดที่ผมไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่และงานของผมได้ ผมจึงอยากบอกอะไรกับสังคมบ้าง (โปรดอ่านต่อให้จบ)

ผมได้พบเจอคนไข้ที่ตั้งครรภ์โดยไม่พร้อม ทั้งทางกาย จิตใจ การเงิน หรือปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้เขาไม่พร้อม

ผมได้พบเจอกันคนไข้ที่ต้องเสียเงินหลักหมื่นให้กับคลินิกที่ขายยาให้ แต่ไม่ได้รองรับอาการต่างๆ ที่ตามมาจากการใช้ยายุติการตั้งครรภ์ (ยาทำแท้ง) เช่น ปวดท้องมาก มีไข้สูง และอื่นๆ สรุปคือ ให้แต่ยา ที่เหลือดูแลตัวเอง

ผมได้พบเจอกับคนไข้ที่ไปทำแท้งเถื่อนมา แล้วเกิดภาวะติดเชื้อ มีไข้สูง บางคนรักษาไม่ทัน ต้องเสียชีวิต

ผมได้พบเจอกับครอบครัวที่ไม่พร้อมจะมีสมาชิกเพิ่ม ทำให้ความเป็นอยู่แย่ลง แม้จะอยู่กันได้ แต่ถ้าไม่มีเพิ่ม คุณภาพขีวิตคงดีกว่านี้

ผมได้เจอกับเด็กที่เกิดมาจากความไม่พร้อมของพ่อและแม่ เด็กที่ไม่มีข้าวจะกิน ไม่มีเงินไปโรงเรียน ไม่ได้รับการศึกษา และที่สำคัญคือ ไม่ได้รับความอบอุ่นจากครอบครัว เหมือนเด็กคนอื่นๆ

หากคุณไม่ได้เจอกับตัวเอง หรือคุณไม่ได้อยู่ในสถานการณ์เหล่านี้ คุณคงไม่เข้าใจ (โปรดอ่านต่อให้จบ)

ผมเป็นหมอคนหนึ่ง ไม่ได้เก่ง หรือวิเศษกว่าใครๆ ตลอดระยะเวลาศึกษาเล่าเรียนด้านการแพทย์ 9 ปี ไม่นับเวลาทำงาน ผมถูกสอนให้ดูแลคนไข้ให้ดี ทำให้ถูกต้องตามมาตรฐานการแพทย์ และที่สำคัญที่สุตคือ การป้องกันโรค รักษาโรค และป้องกันไม่ให้คนที่เป็นโรคแล้ว อาการรุนแรงขึ้น

หญิงที่ท้องไม่พร้อม คือ เขามีปัญหา ผมเจอคนที่มีปัญหา ไม่ว่าจะทางไหนก็ตาม ผมก็อยากช่วย ณ ตอนนี้ การยุติการตั้งครรภ์ คือ การช่วยเหลือที่ผมทำได้ ผมผิดอะไรที่ผมทำตรงนี้ หญิงที่ท้องไม่พร้อมทุกคน ก่อนเจอผม ต้องได้รับคำแนะนำ แนวทางเลือก ทางออกอื่นๆ ก่อนเสมอ ได้รับการประเมินโดยทีม ซึ่งประกอบด้วย แพทย์ พยาบาล นักสังคมสงเคราะห์

บางคนตัดสินใจตั้งครรภ์ต่อ บางคนเลือกยุติการตั้งครรภ์ นั่นเป็นสิทธิ์ของเขา แต่เราได้ให้คำแนะนำแล้ว ผมทำการยุติการตั้งครรภ์ให้ ด้วยมาตรฐานที่กระทรวงสาธารณสุข และแพทยสภาอนุมัติ

ผมทำให้คนที่ท้องโดยไม่พร้อม ได้เริ่มต้นใหม่ ลดค่าใช้จ่าย (เนื่องจากเบิกกับ สปสช.100%) ลดโอกาสเสี่ยงด้านการติดเชื้อ และภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากการไปทำแท้งเถื่อน

ผมทำผิดอะไร?
ผมได้ทำตามที่ได้รับการสั่งสอนมาอย่างเต็มที่
ผมได้ทำการป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการที่คนต้องไปทำแท้งเถื่อน
ผมได้ทำการรักษาโรค คือ ภาวะท้องพร้อม
ผมได้ทำการป้องกันไม่ให้โรคที่เป็นอยู่ รุนแรงมากขึ้น (ท้องไม่พร้อม—>เครียด—>ฆ่าตัวตาย)
(โปรดอ่านต่อให้จบ)

การทำลายชีวิตมันบาป แต่ทุกอย่างมันไม่ได้มีด้านเดียว จะสองด้าน สามด้าน สี่ด้าน แต่คุณอย่ามองด้านเดียว
ผมทำลายชีวิตหนึ่งก็จริง แต่ผมก็ช่วยให้คนไข้ที่อยู่ตรงหน้าผมให้ดีขึ้น คนไข้ของผมคือ หญิงที่ท้องไม่พร้อม แค่นี้พอ ผมและคุณทุกคน คงไม่มีทางรู้ว่า หากปล่อยให้เด็กเกิดมา จะเป็นอย่างไร แต่ ณ ขณะนี้ คนไข้ตรงหน้า มีโรค เราต้องรักษา ขอให้บาปตกแก่ผมคนเดียว ผมยอมรับ เพราะผมเชื่อว่า ผมได้ช่วยคนและทำในสิ่งที่ถูกต้อง อย่าขัดขวางผมเลย (โปรดอ่านต่อให้จบ)

หลายคนไม่ต้องการมีส่วนร่วม เพราะกลัวบาป การเตรียมของให้ การฉีดยาให้ การช่วยให้ผมทำการยุติการตั้งครรภ์ ไม่บาปหรอกครับ เพราะคุณทำหน้าที่ ที่คุณมีในฐานะบุคลากรทางการแพทย์ การที่คุณไม่ทำต่างหาก ที่เป็นบาป และถือเป็นความผิดต่อการปฏิบัติหน้าที่ ผมขอยืนยันว่า การยุติการตั้งครรภ์ให้กับหญิงที่ท้องโดยไม่พร้อม เป็น “การรักษา” บุคคลากรทางการแพทย์ทุกคนควรยอมรับประเด็นนี้ ควรทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย เมื่อพบเจอคนไข้ ก็ต้องแนะนำได้ อย่างน้อยๆ ก็บอกเบอร์ 1663 ให้โทรติดต่อเอง คุณไม่ทำการยุติการตั้งครรภ์ไม่เป็นไร ส่งมาให้ทีม RSA และอย่างขวางผม (โปรดอ่านต่อให้จบ)

หลายคนพูดว่า เราต้องปล่อยให้คนที่ท้องไม่พร้อมได้รับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น ผมเห็นด้วยครับ ผมอยากให้เขาทนอยู่กับสิ่งที่เขาสร้างขึ้นมาเหลือเกิน แต่มีอยู่ประเด็นหนึ่งที่ผมรับไม่ได้คือ เราปล่อยให้หญิงคนนั้นรับผิดชอบ แล้วใครจะรับผิดชอบเด็กที่ต้องเกิดมาในสภาพความไม่พร้อมนั้นล่ะครับ ผมว่าเด็กที่ต้องเกิดมาคนนั้น น่าสงสารมากนะ บางคนไม่มีข้าวกิน บางคนไม่เงินไปโรงเรียน บางคนไม่ได้รับความรักความอบอุ่น บางคนไม่ได้รับการศึกษา สุดท้ายก็เติบโตมาเดินรอยตามแม่ของเขา ท้องไม่พร้อมอีกเช่นกัน ใครจะรับผิดชอบตรงนี้?
(โปรดอ่านต่อให้จบ)

หลายคนคิดว่า การท้องไม่พร้อม เกิดจากความประมาทเลินเล่อ ก็มีส่วนจริง และไม่จริง ผมคิดว่า คนเรามีความประมาท เพราะไม่รู้ถึงผลที่ตามมา ยกตัวอย่างเช่น การขับรถเร็ว ถือเป็นความประมาท เพราะเขาไม่รู้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง เกิดได้กี่เปอร์เซ็นต์ คนที่รู้ก็จะขับรถด้วยความไม่ประมาท เพราะกลัวผลที่จะตามมา กลัวการขับรถชน กลัวเสียชีวิต เปรียบดั่งหญิงที่ท้องไม่พร้อม เขาประมาท ไม่คุมกำเนิดให้ดี บางคนกินยาไม่ตรงเวลา บางคนไม่ได้คุมด้วยวิธีใดเลย เพราะเขาไม่รู้ เขาไม่ได้รับการสอนมา

บางคนคิดว่า โตป่านนี้แล้ว ทำไมไม่รู้ เรื่องของตัวเองแท้ๆ ผมอยากจะบอกว่า นี่แหละคือปัญหาของสังคม ระบบการศึกษา คงจะโทษเขาอย่างเดียวไม่ได้ คุณอาจจะโชคดีที่ได้เกิด และเติบโตในครอบครัวที่ดี ได้รับการศึกษาที่ดี คุณถึงมีความรู้ แต่คนเหล่านี้เค้าไม่รู้จริงๆ ครับ ผมเชื่อว่า ถ้าขารู้จริง เขาก็คงไม่ท้องแน่ๆ (โปรดอ่านต่อให้จบ)

อย่าว่าแต่คนที่ท้องจากความประมาทเลย…
หลายคนกินยาคุมทุกวัน ใส่ห่วงอนามัยอยู่ หรือคุมกำเนิดด้วยวิธีใดๆอยู่ ก็มีโอกาสท้องได้เหมือนกัน เพราะไม่มีการคุมกำเนิดวิธีใดในโลก ให้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์ เราจะดูแลคนที่ท้อง ขณะคุมกำเนิดอยู่อย่างไร ถ้าไม่มีการยุติการตั้งครรภ์ (โปรดอ่านต่อให้จบ)

ผมได้คุยกับคนไข้ก่อนทำการยุติการตั้งครรภ์ทุกคนนะครับ

บางคนผมก็รู้สึกว่า นิสัยไม่ดี ดูการพูดการจาไม่เหมาะสม ความคิดไม่เหมาะสม แต่ผมก็ยังทำให้ เพราะเขาได้รับการประเมินถึงความเหมาะสมในการยุติการตั้งครรภ์ และได้รับคำแนะนำมาแล้ว ถึงแม้คนไข้จะดูไม่น่าได้รับการช่วยเหลือ แต่ผมก็ได้ทำการป้องกันไม่ให้มีเด็กคนหนึ่งเกิดมาอยู่ภายใต้การเลี้ยงดูของคนไข้คนนี้ในอนาคต และผมก็ได้พยายามแนะนำคนไข้ในส่วนที่ผมพอจะทำได้ ที่สำคัญผมได้ทำการฝังยาคุมให้เขา เพื่อลดโอกาสการตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อมในอนาคต (โปรดอ่านต่อให้จบ)

เราต้องเลิกตัดสินการยุติการตั้งครรภ์ ด้วยใจ หรือศาสนาครับ เราต้องคุยกันด้วยกฎเกณฑ์ภายใต้กฎหมาย ของกระทรวง แพทยสภา และมาตรฐานทางการแพทย์ มิเช่นนั้น เราจะอยู่กันไม่ได้ (โปรดอ่านต่อให้จบ)

การรักษาที่ดีที่สุดคือ การให้ความรู้ครับ

ผมรู้นะ ว่าการยุติการตั้งครรภ์เป็นแค่ทางออก แต่มันคือสิ่งที่ผมทำได้ในตอนนี้

คุณทั้งหลายที่ต่อต้านการยุติการตั้งครรภ์ เดินไปตามโรงเรียนสิ ไปสอนเด็ก คุณทำได้มั้ย ?
คุณทำไม่ได้ คุณไม่มีเวลา คุณไม่เคยมีความคิดที่จะทำ และคุณทำอะไรบ้าง นอกจากต่อต้าน ?

ผมสัญญานะครับ หากมีโอกาสผมจะไปให้ความรู้ตามโรงเรียนต่างๆ เพื่อให้เด็กทั้งชายและหญิงรู้จักการคุมกำเนิด ป้องกันการท้องไม่พร้อมตั้งแต่ต้นทาง ไม่ได้รอรักษาที่ปลายทาง มาช่วยกันมั้ยครับ ?

การยุติการตั้งครรภ์ หลายคนอาจจะมองว่า เป็นการแก้ปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พร้อมที่ “ปลายทาง” แต่สำหรับผม มันเป็นการป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากการทำแท้งเถื่อนที่ “ต้นเหตุ” เพราะไม่มีสถานที่ให้ทำแท้งอย่างปลอดภัย

ยุติการตั้งครรภ์อย่างปลอดภัย เพื่อรักษาชีวิตและอนาคตของผู้หญิง ยุติการตั้งครรภ์อย่างปลอดภัย เป็นการให้การรักษาตามกฎหมาย ยุติความมีอคติ และให้ทีม RSA ทำการรักษา ตามหน้าที่ของเราเถอะครับ

บุคลากรทางการแพทย์ทุกระดับชั้น ตั้งแต่ผอ. ถึงเจ้าหน้าที่ดูแลความสะอาดในรพ. ควรเข้าใจในประเด็นนี้ คนที่ไม่พร้อม ยังไงเขาก็ต้องหาทางยุติการตั้งครรภ์จนได้ หากคุณจะให้ความช่วยเหลือเขา คุณต้องไปอยู่กับเขาที่บ้าน คุณถึงจะเข้าใจ และเป็นการช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ไม่ใช่แค่ “แนะนำให้ฝากท้อง” (จบ)

เรื่องโดย หมอกษมพล

ร่วมติดดาวให้เนื้อหาที่ท่านชื่นชอบ

คลิกที่ดาวเพื่อติดดาวให้เนื้อหานี้

จำนวนดาวเฉลี่ย 4.4 / 5. จากการติดดาวทั้งหมด 29

ยังไม่มีการติดดาวให้กับเนื้อหานี้... เป็นคนแรกติดดาวให้เนื้อหานี้