“น้องไอดินได้พ่อแม่บุญธรรมแล้ว”
ข่าวเมื่อต้นเดือนตุลาคม 2559 ระบุว่า น้องไอดินที่คลอดช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2559 จากแม่ผู้ไม่พร้อมเลี้ยงและถูกแทงตามร่างกาย 14 แผล โดยเหตุเกิดขึ้นที่อำเภอแวงใหญ่ จังหวัดขอนแก่น ต่อมาได้รับการรักษาหายจนเป็นปกติ สถานสงเคราะห์เด็กบ้านแคนทองรับดูแลน้องไอดินมา ซึ่งขณะนี้อายุ 7 เดือนเศษ ร่างกายแข็งแรงดี มีชาวสวีเดนมาติดต่อขอรับไปเป็นบุตรบุญธรรมแล้ว และจะได้เลี้ยงดูน้องไอดินตามขั้นตอนของสถานสงเคราะห์ต่อไป
กรณีเช่นนี้ ลุงหมอว่าเป็นทางออกหนึ่ง ที่ผู้หญิงจะเลือกได้ ถ้าท้องโตแล้วยุติตั้งครรภ์ไม่ได้ ต้องท้องต่อ แต่เลี้ยงไม่ได้ ก็ติดต่อสถานสงเคราะห์เด็ก หรือปรึกษาได้ที่คลินิกวัยรุ่นของโรงพยาบาลทุกแห่ง และสายด่วนปรึกษาเรื่องเอดส์และท้องไม่พร้อม1663 ครับ
ส่วนข่าวจากสายด่วน1663 ได้ช่วยวัยรุ่นท้องไม่พร้อมอายุครรภ์ 26 สัปดาห์ ที่เครียดมากไม่สามารถทำแท้งได้ จะทำร้ายตนเองโดยใช้ของแหลมทิ่มเข้าไปในช่องคลอด แต่ด้วยการประสานงานของสายด่วนฯ 1663 กับพยาบาลอาสา RSA โทรศัพท์ติดต่อคุณแม่ของน้องวัยรุ่นคนนี้ เพื่อทำความเข้าใจให้คุณแม่เข้าใจลูก ให้อภัยลูก ซึ่งจะช่วยให้ลูกผ่านวิกฤตนี้ไปได้ เนื่องจากเธอกลัวแม่ไม่ให้อภัย กลัวไม่ได้เรียน รวมทั้งไปคุยกับอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเรื่องการเรียนให้ได้เรียนต่อ คุยกับแฟนหนุ่มให้มาสู่ขอและยอมรับลูกในท้อง
อีกเรื่อง คือ สายด่วน1663 ประสานงานกับวัยรุ่นที่โทรมาปรึกษา ซึ่งท้องได้ 6 สัปดาห์ให้ได้รับบริการยุติตั้งครรภ์ ที่โรงพยาบาลที่มีแพทย์พยาบาล RSA แห่งหนึ่งในภาคเหนือ แล้วน้องวัยรุ่นคนนี้ได้เขียนความรู้สึกที่ได้รับบริการจากเจ้าหน้าที่ของสายด่วน 1663 ไว้หลายข้อครับ เช่น
- สายด่วนนี้มีคนรับฟังปัญหา ช่วยให้ได้ระบายความเครียด
- เสนอทางออกในการแก้ปัญหา ร่วมพูดคุยว่าสะดวกที่ไหน วิธีการใด ติดขัดปัญหาอะไรบ้าง
- มองคนที่โทรไปปรึกษาในเชิงบวก เข้าใจเหตุผลในการทำแท้งช่วยให้รู้สึกผิดต่อตัวเองลดลง
- รู้สึกเป็นทางออกที่ปลอดภัยกว่าการซื้อยากินเองจากอินเทอร์เน็ต เพราะไม่แน่ใจว่าเป็นยาปลอมหรือไม่
- มีการติดตามการรักษาจากสถานพยาบาลเพื่อความปลอดภัย กรณีมีความเสี่ยง
- การปรึกษาเป็นความลับ ถามแต่อายุกับจังหวัด การพูดคุยจะใช้รหัสแทน ซึ่งหากจะโทรกลับอีกก็ใช้แต่รหัสไม่ต้องเปิดเผยชื่อ ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องดีๆ ที่สายด่วนฯ 1663 ช่วยเป็นสื่อกลางให้ผู้หญิงที่ตัดสินใจเลือกทางออกด้วยการทำแท้ง ได้รับการแก้ไขในรูปแบบที่ปลอดภัย
ลุงหมอมองว่า จริงๆ แล้ว ถ้าไม่สุดวิสัย ผู้หญิง แฟน หรือครอบครัวก็ไม่เลือกทำแท้งหรอกครับ อย่างเช่น มีหญิงสาววัย 25 ปี มากับแฟนหนุ่มที่กำลังเรียน เธอท้องได้ 5 สัปดาห์ เข้ามาบอกลุงหมอว่าไม่พร้อม เพราะเพิ่งจะเริ่มทำงาน ยังไม่มั่นคง เจ็บป่วยก็บ่อย ส่วนแม่ของทั้ง 2 ฝ่ายยังไม่รู้ แต่เมื่อเธอไปคุยกับแฟนเรื่องนี้ แฟนไม่เห็นด้วยที่จะทำแท้ง เธอบอกแฟนว่าไม่มั่นใจในตัวเขาเลย ลุงหมอเลยบอกเธอให้โทรปรึกษาลุงหมอได้ ถ้าเลือกยุติการตั้งครรภ์ แต่เธอก็ไม่ได้โทรมาอีกเลย
อีกรายอายุ 14 ปี มาพร้อมกับพ่อแม่ของฝ่ายชาย ตรวจอายุครรภ์ได้ 8 สัปดาห์ ทุกคนเห็นพ้องกันว่าจะท้องต่อ แม้ว่าจะยังเรียนทั้งคู่ แต่ไม่กล้าทำแท้ง เพราะกลัวบาป ที่สำคัญคือ แม่ของฝ่ายชายคิดว่าเขาเลี้ยงได้ เลยไม่คิดจะทิ้งเด็ก
เร็วๆ นี้ ลุงหมอเจอสาวอายุ 22 ปี เธอรักษาสิวที่ใบหน้ากับแพทย์ ด้วยการกินยา “ไอโซเทน” (Isotane10) วันละ 1 เม็ด เป็นเวลาหลายเดือน เธอป้องกันท้องโดยให้แฟนใส่ถุงยางอนามัย แต่ไม่ได้กินยาคุม ประจำเดือนเธอคลาดเคลื่อนบ่อย บางครั้ง 2 เดือนก็ไม่มา มีอยู่ครั้งหนึ่งแฟนไม่ได้ใส่ถุงยาง เธอจึงกินยาคุมฉุกเฉิน “โพสตินอร์” ไป ประจำเดือนเธอขาดไปได้เดือนเศษ ก็ตรวจปัสสาวะแล้วพบว่าตั้งครรภ์ จึงไปตรวจที่โรงพยาบาล แพทย์อัลตร้าซาวด์พบว่าท้องได้ 11 สัปดาห์ คุณหมอบอกว่าลูกมีโอกาสพิการสูง เพราะเธอเพิ่งหยุดกินยารักษาสิว “ไอโซเทน” เพียง 1 สัปดาห์ก่อนพบแพทย์ เธอกลัวลูกพิการและเลือกทางออกด้วยการยุติการตั้งครรภ์
ลุงหมอขอเล่าเรื่องยาตัวนี้ให้ผู้หญิงระวังกันนะครับ เพราะในเมืองไทย ยาตัวนี้นิยมจ่ายและใช้อย่างแพร่หลาย คือ “ไอโซเทน” “โรแอคคิวเทน” “แอคคิวเทน” ซึ่งเป็นชื่อการค้าของยา “ไอโซเทรทิโนอิน” (isotretinoin) จะใช้เฉพาะรักษาสิว ที่มีระดับรุนแรงและดื้อต่อการรักษาด้วยวิธีอื่น ถูกจัดอยู่ในอันดับประเภทเอ๊กซ์ (X) คือ ห้ามใช้ในสตรีตั้งครรภ์เด็ดขาด เพราะมีความเสี่ยงสูงมากที่จะเกิดความพิการรุนแรง คือ ความผิดปกติของใบหน้า ตา หู กะโหลกศีรษะ ระบบประสาทส่วนกลาง ระบบหัวใจและหลอดเลือด ต่อมไทมัส ต่อมพาราไทรอยด์ เช่น ศีรษะเล็ก ใบหน้าผิดรูป เพดานโหว่ มีผลต่อระดับไอคิวต่ำกว่า 85 แขนขาผิดปกติ ความพิการร่วมหลายอย่าง ตัวอ่อนผิดปกติ และมีผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน
ในต่างประเทศ ช่วงแรกที่มีการใช้ยานี้ มีรายงานข้อระวังในสตรีมีครรภ์ของยา “ไอโซเทรทิโนอิน” ปีค.ศ.1992 ในวารสารโรคผิวหนังอเมริกา (Dai WS และคณะ) พบว่า ผู้หญิงที่ใช้ยาตัวนี้เกิดการตั้งครรภ์ขึ้นและติดตามผลได้ 409 ราย พบว่าได้รับการทำแท้ง 222 ราย (54%) แท้งเอง 29 ราย (7%) มี 151 รายท้องต่อจนคลอด โดยในจำนวนนี้ทารกปกติ 72 ราย (48%) พิการ 71 ราย (47%)
รายงานอีกชิ้นหนึ่ง ตีพิมพ์ในวารสารเภสัชวิทยาคลินิกของอังกฤษ มีคนกินยานี้แล้วเผลอท้อง 90 ราย โดยได้รับการทำแท้งเพื่อการรักษา 76 คน (84%) แท้งตามธรรมชาติ 3 คน เด็กตายจากการบาดเจ็บขณะคลอด 2 คน เหลือคลอดออกมามีชีวิต 9 คน มีทารกพิการใบหน้าและลำคอ 1 คน
ลุงหมอขอแนะนำว่าผู้หญิงที่จะเริ่มใช้ยานี้ต้องป้องกันการตั้งครรภ์ โดยใช้วิธีคุมกำเนิดอย่างน้อย 2 วิธีที่มีประสิทธิภาพสูง เช่น ผู้ชายใช้ถุงยางอนามัย ผู้หญิงกินยาคุมกำเนิดแบบรายเดือน โดยไม่แนะนำให้ใช้ยาคุมฉุกเฉิน เพราะประสิทธิภาพต่ำ และโอกาสท้องสูง โดยต้องคุมกำเนิดอย่างน้อย 1 เดือน ก่อนเริ่มใช้ยา และต้องตรวจปัสสาวะว่าไม่ตั้งครรภ์ก่อนการใช้ยา
ถ้าเป็นไปได้ ควรตรวจการตั้งครรภ์ทุกเดือนระหว่างใช้ยา และตรวจ 1 เดือนหลังใช้ยา รวมถึงควรหยุดใช้ยา และคุมกำเนิดต่ออีก 1 เดือนก่อนวางแผนมีลูก เพื่อให้แน่ใจว่ายาถูกกำจัดออกจากร่างกายหมดแล้ว ยาจะได้ไม่มีผลกระทบต่อการตั้งครรภ์ครับ
ด้วยรักและห่วงใย
นพ.เรืองกิตติ์ ศิริกาญจนกูล ผู้ประสานงานเครือข่าย RSA