แล้วผมก็พ่ายแพ้ต่อความต้องการของตัวเองอีกหนเมื่อเดินผ่านหน้าหม้อนึ่งซุปของร้านเจ๊
จริงสิ ยังคงเหลือซุปมะระตุ๋นอีกอย่างหนึ่งสินะที่ยังไม่ได้กิน

“เจ๊ครับ ซุปมะระกินได้ยังล่ะวันนี้” ผมนึกถึงข้าวสวยร้อนๆ ข้าวขาวขัดสีขัดรำออกเสียจนแทบจะเหลือเพียงแป้งขาวๆ ไร้วิตามิน แต่จะไปแคร์ทำไมล่ะ ในเมื่อผมต้องการเพียงแค่การกินข้าวแกล้มซุปมะระเท่านั้นเองไม่ใช่หรือ ในยามนี้ คงไม่เรียกหาข้าวกล้อง ข้าวหอมนิล หรือกระทั่งสังข์หยดเมืองพัทลุง ให้มันเสียจริต

“กินได้แล้วหมอ อันที่จริงถ้ารออีกนิดก็ดี แต่ถ้าลื้อหิวมาก อั๊วจะเอาออกมาต้มให้ก่อน” แกคงเห็นผมอยากกินอยู่หลายวันแล้ว

“หมอรู้มั้ย ซุปแบบนี้ ถ้าเราตุ๋น เนื้อหมูมันจะนุ่ม แต่ถ้าเราต้ม เนื้อหมูมันจะแข็ง” เจ๊แกขยับตัวลงมานั่งเก้าอี้คุยกับผม วันนี้ผมกินตั้งแต่ ๕ โมงครึ่ง ในร้านยังไม่มีแขก แกจึงว่างมานั่งคุยกับผมได้

“ซุปเจ๊น้ำมันใสมากเลยนะ” ผมยังคงแสดงความนิยม
“ถ้าเราตุ๋น น้ำก็ใสแบบนี้แหละ” แน่ะ..ท่าทางเจ๊แกเป็นนักต้มตุ๋นซุปตัวจริง

มะระมันนุ่ม นุ่มจนแทบไม่ต้องใช้ฟันบด ผมลองบี้มันด้วยการใช้ลิ้นดันมะระเปื่อยๆ ก้อนนั้นขึ้นไปขยี้กับเพดานปาก เละและเนียน มีความขมเจือออกมาเพียงนิดเดียวพอให้รู้ว่านี่คือเสน่ห์ของมะระ ผมราดน้ำซุปลงไป เกลี่ยข้าวสวยให้เม็ดกระจายออก ตักพริกสับมาสามชิ้น คลุก แล้วยกเข้าปาก

“อูยเจ๊ มันยอดมาก” ผมชม
เจ๊นั่งยิ้ม

“เจ๊ ถามจริงๆ เหอะ ถ้วยข้างๆ นี้เจ๊เซ่นไหว้ใครอ่ะ” ผมกำลังหมายถึงไอ้ถ้วยข้าวราดหน้าด้วยยำหมูกรอบ (เมนูโปรดน้องจ้า) จับฉ่าย และกระเพาะหมูพะโล้ (เมนูโปรดของผม) มันตั้งอยู่ร่วมโต๊ะกับผมอีกแล้ว

“เจ๊ให้ผมนั่งกินข้าวกับเทวดาเหรอ” ผมหยอกแก “เทพเจ้าฟ้าดิน” เจ๊บอก และในขณะเดียวกัน ลูกน้องในร้านก็ยกถ้วยข้าวใบนั้นตั้งบนหิ้งเหนือหัวผมที่เสาตรงโต๊ะที่ผมนั่งอยู่นั่นเอง

“ยังมีอีกนะหมอ ที่ข้างเตาอั๊วก็ยังมีเทพเจ้าอีกองค์หนึ่ง” แกยิ้ม 

ความเชื่อของคนจีนที่ถูกสืบทอดมาจากแผ่นดินใหญ่ผ่านมาหลายชั่วคนนั้นยังคงมีอยู่ เทพเจ้าถูกสื่อสารกับพวกเขาด้วยควันธูปที่ลอยฟุ้ง “บ้านผมก็มีเทพเจ้าข้างเตาเหมือนกันนะเจ๊” ผมบอกแล้วยิ้มด้วยสายตาแพรวพราว ก่อนตักซุปขึ้นมาซด “พรูดดด”

เจ๊แกมองผลงานของแกผ่านปลายช้อนที่ผมตักเข้าปาก ท่าทางแกพอใจ
เอาเหอะ ผมไม่ได้แสดงออกจนเกินงาม ก็มันอร่อยจริงๆนี่นา

“ที่บ้านผม เรานับถือเทพเจ้าหยั่นหว่อหยุ่น” ผมนึกถึงรูปของเทพเจ้ารูปนั้น เด็กอ้วนนั่งพุงพลุ้ยสะดือจุ่นข้างขวดซ้อสเห็ดหอม เทพเจ้าแห่งอาหารอร่อยประจำบ้าน “เทพสะดือจุ่น”

นึกถึงสะดือ ผมก็คิดถึงคนไข้สาวของผมในวันนี้………………

“ผลชิ้นเนื้อของเธอเป็นช็อคโกแล็ตซิสต์ธรรมดานะครับ” ผมแจ้งผลการตรวจของชิ้นเนื้อรังไข่ด้านขวาที่เราตัดออกไปเมื่อเดือนก่อนผ่านกล้องส่องช่องท้อง

“ผมไม่ได้ผ่าตัดเองเลยนะครับ อาจารย์สาธิตเป็นคนผ่าให้ เค้าเก่งเรื่องส่องกล้อง” ผมแจ้งให้เธอทราบ ตั้งแต่หันมาเป็นหมอรักษามดลูกโผล่ ผลงานของผมก็แทบไม่ต้องใช้กล้องส่องแต่อย่างใด ทุกอย่างที่เอาออกทางช่องคลอดได้ ผมก็ดึงออกมาทางนั้น

“แผลที่สะดือ ผมเย็บให้เธอเอง” ผมจำได้ว่า ตอนนั้นอาจารย์สาธิตต้องออกไปทำการผ่าตัดอีกรายหนึ่ง

“ขอบคุณค่ะหมอ แต่ดิฉันรู้สึกว่า ไหมมันโผล่ที่สะดืออยู่เลยนะคะ” เธอบอก “เหรอครับ ปกติตรงนั้นเราใช้ไหมละลาย มันอาจจะมีไหมโผล่ได้โดยไม่ทำให้เกิดปัญหานะครับ” ผมอธิบาย แต่ก็รู้สึกฉงน

“มันมีปลายชี้เลยนะคะ” ท่าทางเธอยังไม่สบายใจ และผมก็ชักตะหงิดตะหงิด เพราะคุณสมบัติของไหมที่ใช้นั้น มันนุ่มมากเลยนี่นา

“ขอดูหน่อยดิ” ผมแจ้งความประสงค์
ผมมองลงไปที่สะดือของเธอในทันทีที่เธอเลิกชายเสื้อขึ้น “มองไม่เห็น ลืมเอาแว่นมา” ผมหงุดหงิดใจ แต่ไม่วายที่จะใช้นิ้วแหวกลงไปในร่องสะดือนั้น เพ่งสายตาเต็มที่ เจอแล้ว เห็นหัวดำๆ โผล่ขึ้นมาจริงๆ

“แปลก” ผมบ่นพึมพัม
แล้วผมก็เขี่ยมันด้วยปลายนิ้วของผมเองนั่นแหละ มันโยกเยกได้ แล้วก็หลุด “ตึ๊ก”

แหม่..เสียงดังตึ๊กน่ะมันดังไป ผมยืดตัวขึ้นมา และเดินไปทำท่ากระซิบที่ข้างๆเธอ

“เธอๆ มันคือขี้ไคลว่ะ ไม่ใช่ไหม”

เรามองหน้ากัน แล้วปล่อยหัวเราะลั่นห้องตรวจ…………………..

“ลื้อเป็นคนจีนเหรอหมอ” แกคงจะงง จีนบ้าอะไรวะ ดำออกจะอย่างนี้

“ครับ ถามทำไม” ผมสงสัย “ก็เห็นชอบกินซุป นี่มันนิสัยคนจีน” แกวิเคราะห์สายพันธุ์ของผม

“ครับ ผมมีเชื้อจีนเยอะอยู่นะเจ๊ ก๋งเรามาจากจีนเลยล่ะ” ผมนึกภาพและเห็นแผนที่เกาะที่ก๋งจากมา

“เกาะอะไรของจีนนะเจ๊ ไม่มีผู้ชายอยู่เลย” ผมถาม และเจ๊แกทำหน้างงและส่ายหน้า

“ยอมมั้ย”

“บอกมาทีต่ะ อั๊วงง”

“เกาะหำไหล ไงเจ๊ ก๋งอั๊วมาจากเกาะหำไหล”

ผ่าม!

ธนพันธ์ ชูบุญศิษย์เทพเจ้าสะดือจุ่น
๘ มค ๖๒
ที่มา : https://www.gotoknow.org/posts/660519

ร่วมติดดาวให้เนื้อหาที่ท่านชื่นชอบ

คลิกที่ดาวเพื่อติดดาวให้เนื้อหานี้

จำนวนดาวเฉลี่ย 4 / 5. จากการติดดาวทั้งหมด 2

ยังไม่มีการติดดาวให้กับเนื้อหานี้... เป็นคนแรกติดดาวให้เนื้อหานี้