นี่ก็เกือบจะ ๘ โมงเข้าไปแล้ว ผมยังคงนั่งเอื่อยเฉื่อยจิบกาแฟอยู่หน้าบ้าน ปล่อยให้ความเงียบมาบำบัดจิตใจที่ฟุ้งซ่านจากการเผลอไปฟังข่าวเช้าเข้าให้ ใครฆ่าใครด้วยวิธีใด ใครจะเป็นกลุ่มงูเก่ายุคใหม่ พวกเขาต้องมีสัตยาบันกันไหม และใครที่ต้องมาเสียชีวิตจากการที่มีคนเมาแล้วขับรถไปชนเขา ข่าวนี้เล่นเอาผมจิตตกเข้าไปอีก เผลอนึกไปว่า หากตัวเองต้องมาตายไปในตอนนี้พร้อมเมีย ลูกทั้ง ๒ คนจะอยู่ต่อไปได้อย่างไร ถึงจะมีเงินล้นฟ้า มันก็คงสู้การกอดจูบอย่างคนึงหาเฉกเช่นตอนมีลมหายใจมิได้แน่ๆ
นกอีแพรดลงมาหาของกินแถวพื้นหน้าบ้าน แผ่แพนหางกระดกและส่ายให้ดูพอน่าตบ มีกระรอกตัวหนึ่งมันวิ่งไต่อยู่บนต้นลั่นทม ชะรอยจะมากินเศษมะพร้าวอ่อนที่ผมหั่นฝาเปิดเอาไว้และเตรียมพาไปทิ้ง นกพิราบที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับผมในช่วงนี้ มันครางอย่างได้อารมณ์อยู่บนหลังคาบ้าน
สรรพสิ่งรอบกายมันชวนให้การนั่งจิบกาแฟนั้นน่าอภิรมย์
ในช่วงเวลาเช้า อากาศมันเย็นกว่าช่วงสายแน่ๆ แต่กระนั้นมันก็ยังคงรู้สึกอุ่นๆ ผมคาดเดาว่าในตอนนี้มันน่าจะอยู่ที่ราว ๒๘ องศาเซลเซียส…นึกในใจ
เมื่อตอนเรียนอยู่ชั้น ม.๑ นี่ ผมโคตรเก่งเรื่องการเปลี่ยนหน่วยวัดเป็นมาตราต่างๆเลยนะ ไหนจะจากองศาเซลเซียสไปเป็นองศาฟาเรนไฮต์ หรือเปลี่ยนไปเป็นเคลวิน (มันคือหน่วยมาตรฐานที่ครูบอกว่า ไม่ต้องมีคำว่าองศานำหน้าเวลาบอกหน่วยอุณหภูมิ)
นึกในใจต่อไปและก็ขำ แล้วเรียนไปทำไมวะ … ตอบคือไม่รู้ ครูให้เรียนก็เรียนไป สอบมาได้คะแนนก็จบกัน จำได้บ้าง ทิ้งไปบ้าง ส่วนใหญ่ก็ออกไปทางทิ้งเสียมากกว่า แต่ไอ้ที่จำอย่างติดตรึงใจจนถึงวันนี้ก็คือ น้ำมีสูตรทางเคมีว่า ไฮโดรเจนไดอ็อกไซด์ หรือ H2O ในขณะที่อากาศเสียจากการเผาผลาญออกซิเจนของร่างกายคือ คาร์บอนไดออกไซด์ หรือ CO2 และลมตด น่าจะอยู่ในกลุ่มโฮโดรเจนซัลไฟด์
เห็นไหม ผมจำได้ นี่คือวิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไปของม.ต้น
แล้วไง…เออ..ไม่รู้ไง แต่จำได้อ่ะ ผมได้มาเริ่มเรียนวิชาชีววิทยาเมื่อขึ้นชั้น ม.๔ คราวนั้นมันตื่นตาตื่นใจมาก ผมได้เริ่มใช้กล้องจุลทรรศน์ ได้มองเห็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตชิ้นเล็กๆ อีกมากมาย ได้เห็นอสุจิของตัวเองดุ๊กดิ๊กไปมา มันเหมือนฟิน แต่ก็ยังฟินไม่สุด เพราะครูบอกว่า ไอ้แผ่นกระจกเล็กๆ ที่ปิดแผ่นสไลด์นั้นห้ามแตกและห้ามหาย ครูเรียกมันว่า cover slip ใครทำหายจะให้ติด ร.
กลัวจนไข่หด กลัวติด ร. (ติด ร. มันไม่ชิน ผมนี่โคตรเกลียด ร. ไว้ว่างๆ จะเล่าเรื่องติด ร.ของตัวเอง และของลูกสาวให้ฟัง เรื่องหลังนี่คงต้องรอเวลาสักนิด คิดถึงทีไร มันพาให้ใจระรัวระริกระรี้ กับ ร. ในตำนานของเธอ)
เพราะในวันหนึ่ง ผมก็ได้ทำไอ้ cover slip นี่หล่นพื้น และแตกดังเปรี๊ยะเอาในตอนที่พยายามแซะมันขึ้นมาจากพื้นห้องเรียน แต่ด้วยเหตุผลกลใดไม่ทราบ ครูก็ไม่เห็นจะให้ ร. กับผมเลย แกคงแค่ขู่ให้ระวังและดูแลของหลวงกระมัง
ในชั้น ม.๔ นี้อีกเช่นกัน ที่วิชาชีวะมันทำให้ชีวิตของผมฟินชนิดติดดาว นั่นคือการเรียนในเรื่องอนุกรมวิธาน มันคือการจัดลำดับสิ่งมีชีวิตเป็นไฟลั่มต่างๆ ที่ว่าตื่นตา เพราะครูจะพาไปเที่ยวและเก็บตัวอย่างสิ่งมีชีวิตมาคัดแยกตามไฟลั่มต่างๆ ในคราวนั้น พวกผมได้ไปเกาะปอดะ ดำน้ำดูสิ่งมีชีวิตต่างๆ มันทำให้ผมหลงรักวิชาชีวะมาตั้งแต่ตอนนั้นเลยทีเดียว ยิ่งได้เรียนในช่วงถัดมา คือกระบวนการสืบพันธุ์ในระดับเซลก็ยิ่งคลั่งไคล้ ผมได้เรียนและรู้ว่ามีมันกระบวนการไมโตซิส ไมโอซิส และการถ่ายทอดทางพันธุกรรมแบบง่ายๆ
โอว..มันดีขนาดนี้เลย …หรือแต่ถามจริงๆเถอะ …เรียนไปทำไมวะ ?
ไอ้กระบวนการไมโอซิสที่เกิดขึ้นหลังจากที่พ่อและแม่โซเดมาคอมร่วมรักกันแล้วปล่อยให้อสุจิมันแหวกว่ายผ่านปากมดลูกของแม่ ลอดเร้นสอดแทรกอย่างลึกลับผ่านคอมดลูก โพรงมดลูก ท่อนำไข่ แล้วไปเจอกับเซลไข่ของแม่ที่ปลายปากแตรจึงได้ผสมพันธุ์กัน มันไม่ได้สลักสำคัญอะไรกับชีวิตพวกผมในตอนนั้นมากไปกว่าการเรียนเพื่อสอบให้ผ่านได้
ครูลืมสอนอะไรบางอย่างในชีวิตให้พวกเรา (อันที่จริง กระทรวงเวทมนต์ในโลกพ่อมดที่ออกแบบการเรียนแห่งฮอกวอตส์ต่างหากที่ลืมเรื่องนี้ไป ครูก็สอนไปตามสิ่งที่เค้าสั่งมา)
ครูลืมสอนว่า “พวกเราเอากันยังไง และสามารถป้องกันได้ยังไง” ซึ่งมันสำคัญ และสำคัญไปกว่าไมโอซีสแน่ๆ จริงไหม
เออนะ เราลืมถามตัวเองจริงๆ ว่าเรียนไปทำไม
ยิ่งเดี๋ยวนี้มันยิ่งเพี้ยนหนัก ลูกสาวผมเรียนเรื่องอนุกรมวิธานกันตั้งแต่ชั้นประถม วันนั้นผมหงุดหงิดมากที่เห็นหนังสือที่ลูกเรียนมา “เรียนไปทำพ่อง” ผมสบถเบาๆ เพราะกลัวลูกจะได้ยิน
ครับ เอาเข้าจริงๆ ครูลืมสอนเรื่องพื้นฐานที่สุดที่จับต้องได้ การกิน การอยู่ การมีเซ็กส์ตามครรลอง และการคุมไม่ให้ท้อง และคุมไม่ให้ติดโรค
พวกเราสอนให้เด็กเก่งจนไปดวงดาวได้ แต่เราไม่ได้ทำให้เด็กๆ ของพวกเราใช้ชีวิตได้ตามที่ควรจะเป็น เด็กๆ ของพวกเรากำลังขาดทักษะการคิดเอง การเล่น การทำงานเป็นทีม และการช่วยตัวเองอย่างพื้นฐาน
เอิ่ม..ผมไม่ได้กำลังหมายความถึงการช่วยตัวเองจนกระสันและออร์กัสซั่มหรอกนะครับ ผมกำลังพูดถึงชีวิตทั่วๆ ไปนั่นเอง
ตัวอย่างง่ายๆ
ลูกของเรากล้าไปซื้อถุงยางกันไหม และควรเลือกอย่างไร ตอบผมหน่อยสิ
………………….
ครั้งหนึ่ง ผมต้องเดินทางไปประชุมที่ต่างจังหวัด จึงได้โอกาสเหน็บเอาลูกและเมียไปด้วย
จังหวัดตรัง
“พ่อจ๋า แม่ลืมเตรียมถุงยางมา” เธอกระซิบบอกผมในทันทีที่นึกขึ้นมาได้
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพ่อค่อยไปซื้อที่เซเว่น” ผมบอกเธอไป
เรื่องซื้อถุงยางถือเป็นเรื่องสนุกของผม ผมชอบลองใช้แบบต่างๆ ที่เขาอุตส่าห์ผลิตมาให้เราใช้ ไหนจะขนาดบางเฉียบที่เนื้อยางแสนจะห่วยแตก เคยลองใช้แบบผิวขรุขระ เคยใช้แบบมี่ใส่กลิ่นต่างๆ ลองใส่แบบหลวมๆ (ซึ่งไม่ดี) ลองใส่แบบคับๆ (ก็ยังไม่ดี) เรียกได้ว่าลองใช้มาเยอะ จนมียี่ห้อที่เป็นของคู่ใจคู่มือคู่เจี๊ยวอยู่ประมาณหนึ่ง
ยืนเลือกจนได้ถุงยางที่อยากจะลองใช้ดูแล้วนำไปจ่ายเงินตามปกติ
“พี่คะ อันนี้คือไซส์ขนาดใหญ่เลยนะคะ พี่แน่ใจเหรอ” น้องพนักงานเซเว่นบอกผมออกมาในทันทีที่เธอจิ้มแสงไปที่บาร์โค้ดเพื่อคิดราคา
ผมตัวเย็นวูบ เผลอเอามือไปลูบเป้าด้วยกลัวว่าจะลืมรูดซิปจนน้องเค้าแอบเห็นขนาดจู๋ของผม
สรรพเสียงจ๊อกแจ๊กในร้านเมื่อครู่ ทำไมมันเงียบกริบ ไอ้น้องสาวคนนั้นหยุดเลือกขนมปัง แล้วหันมามองผม น้องชายคนนั้นก็เปิดประตูตู้เย็นค้างไว้จนไอหมอกจับกระจกตอนที่กำลังเลือกอาหารแช่แข็ง เขายืนนิ่ง ผมเชื่อว่าเขากำลังแอบสดับรับฟังการสนทนาของเราทั้งคู่
“อายสิครับ” คนหน้าด้านอย่างผมเกิดอาการขวยอายได้นี่ถือว่าเป็นที่สุด
“เอิ่ม.. น้องครับ” ผมรู้สึกกลืนน้ำลายไม่ลง
“น้องช่วยเลือกอันที่คิดว่ามันเหมาะสมกับพี่มาให้กล่องนึงสิครับ” ผมบอกเธอคนนั้นออกไป
“Kingtex” เธอเลือกชนิดกล่องสีดำที่มีสิงโตตัวผู้สวมมงกุฏยืนสองขาน่าเอ็นดูส่งมาให้ ผมเหลือบมองสิงโตตัวนั้น ก็ไม่เห็นเอ็นของมัน
“โถ ไอ้แมวเจี๊ยวเล็ก เกิดมาเป็นแมว แค่ได้ขึ้นคร่อมตัวเมีย สอดใส่ ก็ถือว่าเสร็จ!” ผมสบถในใจใส่ไอ้สิงโตตัวนั้น แต่แปลก ผมกลับรู้สึกสมเพชตัวเองแทนที่จะสงสารสิงโตบนกล่องถุงยาง
แล้วผมกับเธอก็จากกันตั้งแต่ตอนนั้น เซเว่นเมืองตรังในตำนาน
ธนพันธ์ ชูบุญคืนนั้นไม่ต้องทำกันเลยมันโคตรรัดแน่น
๒๑ เมย ๖๒
https://www.gotoknow.org/posts/661290
ชีววิทยาและถุงยางอนามัย เรื่องโดย ผศ.นพ.ธนพันธ์ ชูบุญ