5 ข้อควรรู้เกี่ยวกับการใช้ยายุติการตั้งครรภ์ (Medical abortion)
- การใช้ยายุติการตั้งครรภ์เป็นกระบวนการที่ประกอบด้วยหลายขั้นตอน โดยมียาเกี่ยวข้อง 2 ตัว (มิฟิพริสโตน: mifepristone (หรือ RU486 ชื่อการค้าที่พบในเว็บไซต์ขายยาทำแท้งเถื่อน) และไมโซพรอสตอล :misoprostol) หรือ ไซโตเทค และ/หรือมียาตัวเดียวแต่ใช้หลายครั้ง (ไมโซพรอสตอลตัวเดียว: misoprostol alone)
- การใช้ยามิฟิพริสโตน ร่วมกับ ไมโซพรอสตอล จะได้ผลมากกว่าการใช้ยา ไมโซพรอสตอลอย่างเดียว
- การใช้ยาไมโซพรอสตอล (ไซโตเทค) ไปใช้ที่บ้าน หลังให้ยามิฟิพริสโตนที่คลินิกหรือโรงพยาบาล ทำได้เมื่ออายุครรภ์ไม่เกิน 9 สัปดาห์ (63 วัน) องค์การอนามัยโลกให้การยอมรับในด้านความปลอดภัย โดยต้องแนะนำผู้รับบริการให้สามารถเข้ารับบริการฉุกเฉินได้หากมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น
- การให้บริการในสถานบริการควรจะเป็นเฉพาะเมื่ออายุครรภ์เกิน 9 สัปดาห์ (63 วัน) เพื่อรักษาอาการแทรกซ้อนจากการแท้งที่รุนแรงที่อาจเกิดขึ้น
- ผู้รับบริการควรได้รับข้อมูลว่าไมโซพรอสตอลอาจทำให้ตัวอ่อนในครรภ์พิการ ถ้าการทำแท้งล้มเหลว และผู้รับบริการตัดสินใจที่จะตั้งครรภ์ต่อไป แม้ว่าจะไม่มีข้อสรุปในเรื่องความพิการที่เกิดขึ้น แต่เนื่องจากมีความเสี่ยง การติดตามการตั้งครรภ์อย่างใกล้ชิดจึงเป็นเรื่องสำคัญ
- มิฟิพริสโตนและไมโซพรอสตอล ใช้ไม่ได้ผลในกรณีท้องนอกมดลูก
ตำรับยายุติตั้งครรภ์(ทำแท้ง)ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนในประเทศไทย
ตำรับยายุติตั้งครรภ์(ทำแท้ง)ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนในประเทศไทย
คณะกรรรมการอาหารและยา ได้มีการอนุมัติให้ขึ้นทะเบียนยาชนิดเม็ด 2 ชนิดที่บรรจุในแผงเดียวกัน เพื่อยุติการตั้งครรภ์ ทำแท้งในผู้หญิงที่ไม่มีข้อห้ามการใช้ยาทางการแพทย์ โดยมีข้อบ่งชี้ในการให้บริการยุติการตั้งครรภ์ภายใต้ ข้อกฎหมาย ข้อกำหนดของแพทยสภา โดยสามารถสั่งจ่ายยาได้โดยแพทย์ที่ผ่านการอบรมและไม่พบข้อห้ามใช้ทางการแพทย์
สำหรับตำรับยาดังกล่าว ประกอบด้วยยาเม็ด 2 ชนิด คือ ยามิฟิพริสโตน(mifepristone) หรือที่ใช้ชื่อทางการค้าว่า RU486 ที่สามารถพบเห็นได้ในเว็บไซต์ขายยาทำแท้งเถื่อน ซึ่งเป็นยาต่อต้านฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน(anti-progesterone)ขนาด 200 มิลลิกรัม จำนวน 1 เม็ด และยาไมโซโพรสตอล (misoprostol) หรือที่ใช้ชื่อทางการค้าว่า ไซโตเทค ซึ่งเป็นยาออกฤทธิ์เหมือนพรอสตาแกลนดิน(prostaglandinanalogue) ขนาด 200 ไมโครกรัม จำนวน 4 เม็ด สำหรับใช้ใน 24 – 48 ชั่วโมงต่อมา โดยให้สอดไว้ใน ช่องคลอดหรืออมไว้ใต้ลิ้น ยาทั้ง 2 ชนิด บรรจุในแผงเดียวกัน สำหรับยุติตั้งครรภ์ ทำแท้งปลอดภัยในอายุครรภ์ไม่เกิน 9 สัปดาห์ หรือ 63 วัน นับจากวันที่ผู้หญิงมีประจำเดือนครั้งสุดท้าย
และในวันที่ 13 มิถุนายน 2559 มติคณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติ ได้พิจารณาคัดเลือก ยาไมโซโพรสตอลและมิฟิพริสโตนที่บรรจุในแผงเดียวกัน เพื่อใช้ยุติการตั้งครรภ์ด้วยเหตุทางการแพทย์ที่อายุครรภ์ไม่เกิน 24 สัปดาห์ ไว้ในบัญชียาหลักแห่งชาติบัญชีย่อย จ(1) และบัญชียาหลักแห่งชาติบัญชีย่อย จ(1) ต้องมีโครงการพิเศษของหน่วยงานภาครัฐ ต้องให้กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ทำหน้าที่ในการบริหารจัดการและวางแผนดูแลกำกับการใช้ยาอย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ตาม ยาทั้งสองชนิดนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนแยกกันในหลายประเทศ และมีการใช้แพร่หลายสำหรับการยุติการตั้งครรภ์ (ทำแท้งปลอดภัย) การใช้ยาจะปลอดภัยมีประสิทธิภาพสูง และมีภาวะแทรกซ้อนน้อยมาก หากใช้ภายใต้ การดูแลของแพทย์และพยาบาลที่ผ่านการฝึกอบรมในด้านนี้
ใช้ยายุติการตั้งครรภ์ ยาทำแท้ง ให้ปลอดภัยได้อย่างไร?
ผู้หญิงที่ท้องไม่พร้อม มักไม่สามารถบอกหรือปรึกษาใครได้ เมื่อหาทางออกไม่ได้ มักจะคิดถึงการยุติตั้งครรภ์ไว้ก่อน หลังจากนั้นก็จะหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต และถูกชักนำไปให้ซื้อยาทำแท้งทางไปรษณีย์ โดยไม่อาจรู้ได้ว่า ยาที่จะได้รับนั้นเป็นยาจริงหรือยาปลอม ขนาดยาเหมาะสม และวิธีการใช้ถูกต้องตามอายุครรภ์หรือไม่
เพียงหวังให้ผู้หญิงและทุกๆ คน มีข้อมูล มีความเข้าใจที่รอบด้านเกี่ยวกับยาทำแท้ง เพื่อเตือนให้ฉุกคิดถึงอันตรายจากการใช้ยาทำแท้งไม่ถูกต้อง เข้าใจอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้น และแนวทางปฎิบัติหากพบอาการที่ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลโดยไม่รอช้า เพื่อป้องกันการติดเชื้อและรักษาชีวิตอันมีค่าของตัวเองไว้ ไม่ได้ต้องการให้เป็นคำแนะนำสำหรับการหาซื้อยายุติการตั้งครรภ์มาใช้เอง เนื่องจากการดูแลรักษาผู้ที่ท้องไม่พร้อมและต้องการยุติการตั้งครรภ์ ยังมีองค์ประกอบอย่างอื่นที่สำคัญอีกมาก เช่น การให้การปรึกษา การให้กำลังใจ หรือ การให้บริการคุมกำเนิดหลังยุติการตั้งครรภ์ นอกเหนือไปจากการหายายุติการตั้งครรภ์มาใช้ เพื่อให้การตั้งครรภ์ครั้งนี้สิ้นสุดไปเท่านั้น
วิธีการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัย
เทคโนโลยีในปัจจุบันสามารถช่วยให้การยุติการตั้งครรภ์เป็นไปอย่างปลอดภัยมากขึ้น
โดยองค์การอนามัยโลกกําหนดให้การยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัยทำได้ด้วยวิธีการต่อไปนี้
1) การดูดเนื้อรกจากโพรงมดลูก (Manual Vacuum Aspiration: MVA)
วิธีการนี้สามารถทำได้จนถึงอายุครรภ์ประมาณ 10 – 12 สัปดาห์ อุปกรณ์ที่ใช้งานดังกล่าว มีลักษณะเป็นหลอดพลาสติกขนาดต่างๆ ประกอบ คู่กับกระบอกดูดสุญญากาศ เมื่อแพทย์สอดหลอดพลาสติกเข้าไปในโพรงมดลูกสามารถดูดชิ้นเนื้อออกจากโพรงมดลูกได้ ซึ่งสามารถทำให้เกิดการแท้งสมบูรณ์ได้เกือบร้อยละ 100
ในประเทศไทยมีความพยายามที่จะยกเลิกวิธีการยุติการตั้งครรภ์ด้วยการขูดมดลูก (D&C: Dilatation and Curettage หรือการใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ เพื่อนําเอาเนื้อเยื่อของมดลูกออกมา) และแทนที่ด้วยวิธีการดูดเนื้อรกจากโพรงมดลูก (MVA) โดยกระทรวงสาธารณสุข และราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย จัดอบรมสูตินรีแพทย์ให้มีทักษะในการใช้ MVA อย่างกว้างขวาง ปัจจุบัน สถานพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชนที่ให้บริการยุติการตั้งครรภ์ที่อายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ จะใช้วิธีการนี้ในการยุติการตั้งครรภ์ซึ่งสามารถให้บริการได้โดยไม่ต้องมีการพักค้างคืน
2) การใช้ยายุติการตั้งครรภ์ ยาที่ใช้ในการยุติการตั้งครรภ์ ที่ใช้กันในปัจจุบันและได้รับการยอมรับ โดยองค์การอนามัยโลก คือ Mifepristone (หรือที่รู้จักกันในชื่อ RU486) และ Misoprostol (หรือที่รู้จักกันในชื่อการค้า Cytotec®) วิธีการยุติการตั้งครรภ์ด้วยยา แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
1.1 การใช้ยา Mifepristone (RU486) ร่วมกับ Misoprostol ในช่วงอายุครรภ์ก่อน 9 สัปดาห์
ประเทศไทยได้นำวิธีการใช้ยาร่วมนี้มาให้บริการนำร่องในโรงพยาบาล เพื่อกําหนดแนวทางในการให้บริการที่เหมาะสมมาต้ังแต่ ปี 2554 ซึ่งพบว่า เกิดการแท้งสมบูรณ์ถึงร้อยละ 97 และในระหว่างปี 2558 – 2559 ประเทศไทยได้มีการศึกษาทางคลินิก สําหรับการใช้ยาสองขนานนี้ที่อายุครรภ์ 9 – 14 สัปดาห์ โดยเป็นการศึกษาร่วมกับประเทศต่างๆ ทั่วโลก 10 ประเทศ และกําลังอยู่ในระหว่างประมวลผลวิเคราะห์ข้อมูล และสรุปผล เพื่อให้ได้สูตรยาและวิธีการใช้ยาที่มีประสิทธิภาพ
1.2 การใช้ยา Misoprostol เพียงอย่างเดียว ในกรณีที่อายุครรภ์อยู่ในช่วง 12 – 20 สัปดาห์ สามารถทําให้เกิดการแท้งสมบูรณ์ได้มากกว่าร้อยละ 80 ขึ้นไป วิธีการนี้มีข้อกำหนดให้ใช้ในโรงพยาบาลสําหรับผู้หญิงตั้งครรภ์ที่รับไว้รักษาในโรงพยาบาลเท่านั้น
ทั้งนี้ ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์จัดทำ “แนวทางการยุติการตั้งครรภ์ เพื่อป้องกันการแท้งที่ไม่ปลอดภัย” เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์ใช้เป็นแนวทางในการให้บริการด้วย สามารถคลิกดูรายละเอียดแนวทางได้จากลิงก์ : https://rsathai.org/contents/305
5 เหตุการณ์สำคัญทั่วโลก เกี่ยวกับยายุติตั้งครรภ์
การยุติตั้งครรภ์โดยใช้ยา (Medical Abortion) หมายถึง “การใช้ยากระตุ้นให้เกิดการยุติต้ังครรภ์แทนการดูดหรือขูดมดลูก”
แม้ว่าจะมีการใช้ยาเพื่อยุติตั้งครรภ์ (ทำแท้ง) มานานแล้วก็ตาม แต่การคิดค้นสูตรยาที่จะนำมาใช้สำหรับยุติตั้งครรภ์ ในช่วงไตรมาตรแรกของการตั้งครรภ์ โดยมีผลงานวิจัยยืนยันเรื่องประสิทธิภาพ และความปลอดภัยของยาอย่างจริงจังเพิ่งเกิดขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การใช้ยาเพื่อยุติการตั้งครรภ์จะช่วยให้ผู้หญิงเข้าถึงบริการที่ปลอดภัยมากขึ้นเพราะสามารถให้บริการได้ในสถานบริการที่ไม่มีเครื่องมือสำหรับขูดมดลูกได้
5 เหตุการณ์ครั้งสำคัญๆ เพื่อให้มีการใช้ยาสำหรับยุติตั้งครรภ์เป็นที่รับรู้และตระหนักไปทั่วโลก ในแต่ละช่วงดังนี้
พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998)
มีการประชุมที่เมืองเบลลาจิโอประเทศอิตาลีในกลุ่มนักวิจัยเรื่อง สุขภาพผู้หญิงและผู้บริหารระดับนานาชาติจากหลายประเทศทั่วโลกโดยที่ประชุมได้พูดถึง เรื่องการยุติตั้งครรภ์โดยใช้ยาและสรุปว่าการยุติตั้งครรภ์โดยใช้สูตรยามิฟิฟริสโตน (MIFEPRISTONE) ควบคู่กับ ไมโซโพรสตอล (MISOPROSTOL) เป็นสูตรยาที่สามารถใช้ได้อย่าง ปลอดภัยได้ผลดี และเป็นที่ยอมรับของผู้หญิงในประเทศกำลังพัฒนา MISOPROSTOL ถูกเลือกใช้และเป็นที่นิยมใช้กันในปัจจุบันมากที่สุด เนื่องจากปลอดภัย ราคาไม่แพง เก็บรักษาง่าย และมีใช้กันอย่างแพร่หลายอยู่แล้ว
พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000)
มีการประชุมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการยุติตั้งครรภ์โดยใช้ยาจากประเทศทั่วโลกเพื่อให้ข้อเสนอแนะในการใช้ยาที่ครอบคลุมรอบด้านแก่ผู้ใช้ยา และให้ข้อมูลกับผู้บริหารนโยบายสาธารณสุขจากประเทศทั่วโลก
พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) องค์การอนามัยโลก ได้ทำการวิจัยศึกษาประสิทธิภาพความปลอดภัยและการยอมรับของผู้ใช้ในหลายประเทศทั่วโลก และได้นำข้อมูลเชิงประจักษ์ดังกล่าวมาเป็นข้อเสนอแนะในการใช้ยา และสูตรยาสำหรับยุติตั้งครรภ์
พ.ศ. 2548 (ค.ศ. 2005) คณะผู้เชี่ยวชาญขององค์การอนามัยโลกได้เสนอให้บรรจุยาทั้ง 2 ตัวเพื่อใช้ยุติตั้งครรภ์ คือ Mifepristone และ Misoprostol ไว้ในบัญชียาหลักที่มีความจำเป็นขององค์การอนามัยโลก
นอกจากนี้ สมาพันธ์สูตินรีแพทย์นานาชาติ (Federation International of Obstetricians and Gynecologist – FIGO) ได้แนะนำให้ทั่วโลกใช้ยานี้ เนื่องจากมีความปลอดภัย เป็นที่ยอมรับ รวมทั้งมีประสิทธิภาพสูงเป็นที่น่าพอใจ วิธีนี้ได้ผลสูงถึงร้อยละ 95-98 หากใช้ตามระยะของอายุครรภ์ ขนาดของยา และใช้ถูกต้องตามที่องค์การอนามัยโลกแนะนำ
พ.ศ. 2549 (ค.ศ. 2006) องค์การอนามัยโลกได้ตีพิมพ์ คำถาม คำตอบที่พบบ่อยในการให้บริการยาสำหรับยุติตั้งครรภ์ (frequently asked clinical questions about medical abortion) เกี่ยวกับการยุติตั้งครรภ์โดยใช้ยาจากหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ได้ศึกษามาแล้ว โดยได้แนะนำว่า การยุติตั้งครรภ์โดยใช้ยากับหญิงที่มีอายุครรภ์ไม่เกิน 9 สัปดาห์ เป็นวิธีที่มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากกว่าร้อยละ 96 เมื่อใช้ถูกต้องตามคำแนะนำ โดยการใช้ยาสองชนิดนี้ ได้แก่
- Mifepristone 200 มิลลิกรัม ใช้กิน 1 เม็ด และ
- Misoprostol 800 ไมโครกรัม สอดช่องคลอด ภายหลังกินยาเม็ดแรกไปแล้ว 24 – 48 ชั่วโมง ซึ่งไม่นานมานี้ได้มีหลักฐานเชิงประจักษ์เพิ่มเติมว่าการใช้ Misoprostol อมใต้ลิ้นประสิทธิภาพและความปลอดภัยไม่แตกต่างจากการสอดทางช่องคลอด แต่การอมใต้ลิ้นอาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงได้มากกว่า เช่น อาการคลื่นไส้ อาเจียน เป็นต้น
ปัจจุบันมีการศึกษาวิจัยอย่างต่อเนื่องในระดับนานาชาติ เรื่องการใช้ยายุติตั้งครรภ์ในอายุครรภ์ที่มากกว่า 9 สัปดาห์ รวมทั้งการจัดการระบบการให้บริการเพื่อให้เกิดการเข้าถึงยา ทั้งนี้ เพื่อป้องกันและลดปัญหาการยุติตั้งครรภ์ที่ไม่ปลอดภัยให้น้อยลง
อ้างอิง : การใช้ยาเพื่อยุติการตั้งครรภ์ ในระยะแรก
เรียบเรียงโดย ดร. วรรณภา นาราเวช Concept Foundation และทัศนัย ขันตยาภรณ์ Path2health
Abortion 4G Good Technology
” ปัจจุบันนี้มีเทคโนโลยีที่ง่ายและปลอดภัยสำหรับการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัยอย่างมาก นั่นคือ การใช้ยามิฟิพริสโตน (Mifepristone หรือในชื่อการค้า RU-486) และไมโซโพรสตอล (Misoprostol หรือในชื่อการค้า ไซโตเทค : Cytotec)
คนไข้สามารถรับยาไปใช้ที่บ้านได้เอง โดยการกินยามิฟิพริสโตน 1 เม็ด หลังจากนั้น 24-48 ชั่วโมง ให้ใช้ยาไมโซโพรสตอล เหน็บช่องคลอด เหน็บทางทวาร อมใต้ลิ้น หรืออมใต้กระพุงแก้ม จนกว่ายาจะละลาย ควรมีคนอยู่ด้วยไม่ควรทำเองตามลำพัง อายุครรภ์ที่เหมาะสมควรน้อยกว่า 9 สัปดาห์ มีความปลอดภัยถึง 92-98% ถือว่ามีความเสี่ยงน้อยมาก หากอายุครรภ์มากกว่า 9 สัปดาห์ ก็ยังสามารถใช้วิธีนี้ได้แต่ให้อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
วิธีนี้มีข้อยกเว้นสำหรับบุคคลที่มีความเสี่ยง คือ กรณีเคยผ่านการผ่าท้องคลอด ท้องนอกมดลูก หรือมีโรคประจำตัว แม้ว่าวิธีการใช้ยาจะมีผลไม่ถึง 100% แต่ก็เป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย สะดวก ไม่ได้น่ากลัวเหมือนในอดีต และทำให้ชีวิตดีขึ้นแน่นอน” กล่าวโดย แพทย์หญิงอรวี ฉินทกานันท์ ภาควิชาสูติศาตร์-นรีวิทยาคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ในกิจกรรม Pro-Voice 4 : Abortion 4G การทำแท้ง4จ. และการประชุมเครือข่ายสนับสนุนทางเลือกของผู้หญิงที่ท้องไม่พร้อมครั้งที่ 44 เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2560
กรมอนามัย ห่วงสาวไทยทำแท้งเถื่อน เดินหน้าเครือข่าย RSA ให้การปรึกษาทางเลือกตั้งครรภ์ต่อ ยุติการตั้งครรภ์ที่ถูกกฎหมาย
นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า องค์การอนามัยโลก ประมาณการว่า ในแต่ละปีมีการทำแท้งทั่วโลกประมาณ 46 ล้านคน ในจำนวนนี้มีประมาณ 20 ล้านคน เป็นการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัย และมีสตรีเสียชีวิตจากการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัย ปีละประมาณ 70,000 คน โดยร้อยละ 95 เกิดขึ้นในประเทศที่กำลังพัฒนา รวมทั้งประเทศไทย แต่ยังไม่มีข้อมูลการยุติการตั้งครรภ์ที่ชัดเจน เนื่องจากผู้ที่ตั้งครรภ์ไม่พร้อมจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงบริการที่ปลอดภัยและถูกกฎหมาย จึงหันไปใช้บริการทำแท้งเถื่อน หรือซื้อยายุติการตั้งครรภ์จากอินเทอร์เน็ต
นพ.วชิระ กล่าวว่า ที่ผ่านมา เพื่อลดอันตรายจากการเจ็บป่วยและตายจากการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัย กรมอนามัย จึงร่วมมือกับคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศิริราช รามาธิบดี ขอนแก่น และสงขลานครินทร์ ภายใต้การสนับสนุนจาก Concept Foundation และ องค์การอนามัยโลก ศึกษาวิจัยระบบการให้บริการยุติการตั้งครรภ์ด้วยยา หลังจากนั้น ได้ผลักดันยาให้ขึ้นทะเบียนในปี 2557 และบรรจุในบัญชียาหลักแห่งชาติในปี 2558 เพื่อใช้ในบริการยุติการตั้งครรภ์ตามกฎหมายและข้อบังคับแพทยสภา
“กว่า 60 ปีมาแล้วที่กฎหมายไทยอนุญาตให้ผู้หญิงยุติการตั้งครรภ์ได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 305 โดยผู้ให้บริการยุติการตั้งครรภ์ต้องเป็นแพทย์ผู้มีใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม ในกรณีที่ผู้หญิงตั้งครรภ์มีปัญหาสุขภาพกาย หรือปัญหาสุขภาพจิต หรือตั้งครรภ์เนื่องจากการกระทำความผิดอาญาตามที่บัญญัติ คือ ถูกข่มขืน เด็กอายุไม่เกิน 15 ปี การค้าบริการทางเพศทั้งที่ยินยอม และไม่ยินยอม หรือการล่อลวงอนาจาร แต่เนื่องจากที่ผ่านมาสถานบริการสุขภาพที่ให้บริการยุติการตั้งครรภ์อย่างปลอดภัยยังมีจำนวนน้อยมาก เนื่องจากทัศนคติของสังคมและผู้ให้บริการสาธารณสุขจำนวนมาก ยังมองเรื่องการยุติการตั้งครรภ์ในทางลบ และต่อต้านการจัดให้มีบริการยุติการตั้งครรภ์ในสถานบริการของตน กรมอนามัยจึงได้ผลักดันให้เกิดเครือข่ายอาสาส่งต่อยุติการตั้งครรภ์ (RSA : Referral System for Safe Abortion) เพื่อการเข้าถึงบริการของวัยรุ่นและสตรีที่ตั้งครรภ์ไม่พร้อม” นพ.วชิระ กล่าว
นพ.วชิระ กล่าวว่า ผู้มีปัญหาสามารถโทรไปที่สายปรึกษาท้องไม่พร้อม 1663 เพื่อรับบริการปรึกษาทางเลือก และส่งต่อดูแลไม่ว่าทางเลือกจะเป็นการตั้งครรภ์ต่อหรือยุติการตั้งครรภ์ รวมทั้งการให้บริการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพ ปัจจุบันเครือข่าย RSA มีแพทย์อาสาที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากกรมอนามัย รวม 110 คน และยังมีสหวิชาชีพอาสาจำนวน 262 คน เพื่อให้สตรีไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีรับวันสตรีสากล
ที่มา : https://www.matichon.co.th/news/297483
สาวไทยยังพึ่งทำแท้งเถื่อน เหตุสังคมมองเป็นบาป กรมอนามัยรุกเดินหน้าเครือข่าย RSA ให้คำแนะนำยุติตั้งครรภ์ถูกกฎหมาย
กรมอนามัยห่วงสาวไทยเสียชีวิตหรือเจ็บป่วยจากการทำแท้งผิดกฎหมายและไม่ปลอดภัย เหตุจากทัศนคติสังคมยังมองเป็นบาป สถิติทำแท้งทั่วโลก 46 ล้านคน ตายปีละ7หมื่นคน กรมอนามัยเดินหน้าผลักดันเครือข่ายอาสาส่งต่อยุติการตั้งครรภ์ RSA ช่วยวัยรุ่นและสตรีที่ตั้งท้องโดยไม่พร้อม โดยใช้แพทย์และยายุติการตั้งครรภ์ในบัญชียาหลักได้อย่างปลอดภัยและถูกกฎหมาย
เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2561 นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า องค์การอนามัยโลกประมาณการว่าในแต่ละปีมีการทำแท้งทั่วโลกประมาณ 46 ล้านคน ในจำนวนนี้มีประมาณ 20 ล้านคน เป็นการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัย และมีสตรีเสียชีวิตจากการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัย ปีละประมาณ 70,000 คน โดยร้อยละ 95 เกิดขึ้นในประเทศที่กำลังพัฒนารวมทั้งประเทศไทย แต่ยังไม่มีข้อมูลการยุติการตั้งครรภ์ที่ชัดเจน เนื่องจากผู้ที่ตั้งครรภ์ไม่พร้อมจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงบริการที่ปลอดภัยและถูกกฎหมายจึงหันไปใช้บริการทำแท้งเถื่อน หรือซื้อยายุติการตั้งครรภ์จากอินเทอร์เน็ต
นพ.วชิระ กล่าวว่า ที่ผ่านมาเพื่อลดอันตรายจากการเจ็บป่วยและตายจากการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัย กรมอนามัย จึงร่วมมือกับคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศิริราช รามาธิบดี ขอนแก่น และสงขลานครินทร์ ภายใต้การสนับสนุนจากConcept Foundationและ องค์การอนามัยโลก ศึกษาวิจัยระบบการให้บริการยุติการตั้งครรภ์ด้วยยา หลังจากนั้นได้ผลักดันยาให้ขึ้นทะเบียนในปี2557และบรรจุในบัญชียาหลักแห่งชาติในปี 2558 เพื่อใช้ในบริการยุติการตั้งครรภ์ตามกฎหมายและข้อบังคับแพทยสภา
ยายุติการตั้งครรภ์ มีชื่อว่า ไมเฟฟริสโตน (mifepristone) และไมโซพรอสทอล (misoprostol) ปัจจุบันมียารวมเม็ดเรียกว่า เมทตาบอล ซึ่งสูตรของยาดังกล่าวได้ขึ้นทะเบียนเป็นบัญชียาหลักขององค์การอนามัย (World Health Organization – WHO) สามารถใช้ในอายุครรภ์ น้อยกว่า 9 สัปดาห์ได้อย่างปลอดภัย สำหรับประเทศไทย สูตรยาดังกล่าวก็ได้ขึ้นทะเบียนยาสูตร MeFi-Miso เมื่อเดือนธันวาคม 2557 และล่าสุดเดือนมิถุนายน 2559 ที่ผ่านมา MeFi-Miso ได้ขึ้นบัญชียาหลัก จ (1 ) ซึ่งหมายความว่า คนทั่วไปสามารถเข้าถึงยา ไมเฟฟริสโตน (mifepristone) ไมโซพรอสทอล (misoprostol) และเมทตาบอลได้ แต่ต้องอยู่ในโครงการพิเศษของกระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วย งานรัฐ ที่มีการติดตามประเมินการใช้ยาตามโครงการปัจจุบันมีเครือข่าย โรงพยาบาลรัฐและเอกชน รวมถึงคลินิก จำนวน 85 แห่งทั่วประเทศไทย ที่หญิงที่ต้องการยุติการตั้งครรภ์สามารถเข้าถึงได้ ซึ่ง โดยทั่วไปแล้ว ยาดังกล่าว ไม่มีการจำหน่ายตามร้านขายยา หรือโรงพยาบาลและคลินิกที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการ
“กว่า 60 ปีมาแล้วที่กฎหมายไทยอนุญาตให้ผู้หญิงยุติการตั้งครรภ์ได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 305 โดยผู้ให้บริการยุติการตั้งครรภ์ต้องเป็นแพทย์ผู้มีใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม ในกรณีที่ผู้หญิงตั้งครรภ์มีปัญหาสุขภาพกาย หรือปัญหาสุขภาพจิต หรือตั้งครรภ์เนื่องจากการกระทำความผิดอาญาตามที่บัญญัติคือ ถูกข่มขืน เด็กอายุไม่เกิน 15 ปี การค้าบริการทางเพศทั้งที่ยินยอมและไม่ยินยอม หรือการล่อลวงอนาจาร แต่เนื่องจากที่ผ่านมาสถานบริการสุขภาพที่ให้บริการยุติการตั้งครรภ์อย่างปลอดภัยยังมีจำนวนน้อยมาก เนื่องจากทัศนคติของสังคมและผู้ให้บริการสาธารณสุขจำนวนมาก ยังมองเรื่องการยุติการตั้งครรภ์ในทางลบ และต่อต้านการจัดให้มีบริการยุติการตั้งครรภ์ในสถานบริการของตน กรมอนามัยจึงได้ผลักดันให้เกิดเครือข่ายอาสาส่งต่อยุติการตั้งครรภ์ (RSA: Referral System for Safe Abortion)เพื่อการเข้าถึงบริการของวัยรุ่นและสตรีที่ตั้งครรภ์ไม่พร้อม” นพ.วชิระ กล่าว
นพ.วชิระ กล่าวว่า ผู้มีปัญหาสามารถโทรไปที่สายปรึกษาท้องไม่พร้อม1663เพื่อรับบริการปรึกษาทางเลือก และส่งต่อดูแลไม่ว่าทางเลือกจะเป็นการตั้งครรภ์ต่อหรือยุติการตั้งครรภ์ รวมทั้งการให้บริการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพ ปัจจุบันเครือข่ายRSAมีแพทย์อาสาที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากกรมอนามัยรวม 110 คน และยังมีสหวิชาชีพอาสาจำนวน 262 คน เพื่อให้สตรีไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีรับวันสตรีสากล
ทั้งนี้ จากสถิติการสำรวจสถานการณ์การยุติการตั้งครรภ์ในประเทศไทยของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) พ.ศ. 2555 มีอัตราการเสียชีวิตจากการยุติการตั้งครรภ์ที่ไม่ปลอดภัยของผู้หญิงไทยปีละ25-30 คน และบาดเจ็บเพราะภาวะแทรกซ้อนจากการยุติการตั้งครรภ์ที่ไม่ปลอดภัยประมาน 30,000 คน
การยุติการตั้งครรภ์(ทำแท้ง) สามารถทำได้ถูกกฎหมายด้วยเหตุผล 2 ประการ
ประการแรก : เหตุผลทางกฎหมาย เมื่อการตั้งครรภ์ที่เกิดขึ้นเป็นความผิดทางอาญาในกรณีข่มขืนและกรณี เกี่ยวเนื่องกับการจัดหาบริการทางเพศที่มีการข่มขู่เพื่อซื้อขายบริการทางเพศ แพทย์ก็สามารถยุติการตั้งครรภ์ได้ถูกต้องตามกฎหมาย รวมถึงผู้หญิงตั้งครรภ์อายุไม่เกิน 15 ปีบริบูรณ์ก็สามารถยุติการตั้งครรภ์ได้ เพราะมีกฎหมายคุ้มครองผู้เยาว์
ประการที่สอง : เหตุผลทางการแพทย์ หากการตั้งครรภ์นั้นส่งผลต่อสุขภาพของมารดา ก็สามารถยุติการตั้งครรภ์ได้
ตามกฎหมายไทย การยุติการตั้งครรภ์หรือการทำแท้งเป็นความผิดทางอาญา หญิงที่ทำให้ตัวเองแท้งลูกหรือยอมให้ผู้อื่นทำให้แท้งลูก มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 301 ต้องรับโทษจำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ขณะเดียวกัน ผู้ทำให้หญิงแท้งลูกโดยความยินยอมก็มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 302 ต้องรับโทษจำคุกไม่เกินห้าปีปรับไม่เกิน10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากการทำแท้งเป็นเหตุให้หญิงได้รับอันตรายสาหัส ผู้ทำให้หญิงแท้งลูกมีโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี หรือปรับไม่เกิน 14,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากการทำแท้งเป็นเหตุให้หญิงถึงแก่ความตาย ผู้ทำให้หญิงแท้งต้องรับโทษจำคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกิน 20,000 บาท
อย่างไรก็ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 305 ก็ยกเว้นความผิดของมาตราหญิงที่ทำแท้งและผู้ทำแท้งเอาไว้ ในกรณีผู้ทำแท้งเป็นแพทย์ผู้มีใบอนุญาต และเป็นการทำแท้งด้วยความจำเป็นด้านสุขภาพของหญิง กรณีที่หญิงตั้งครรภ์เพราะถูกข่มขืนกระทำชำเรา กรณีที่หญิงคนที่ตั้งครรภ์อายุไม่ถึง 15 ปี รวมทั้งกรณีที่การตั้งครรภ์เกิดจากการถูกล่อลวง บังคับ ข่มขู่ เพื่อทำอนาจารสนองความใคร่
ที่มา : http://thaitribune.org/contents/detail/307?content_id=31605&rand=1520500510