“แต่ก่อนคิดลบเรื่องทำแท้งมากค่ะ คิดว่าชีวิตนี้จะไม่ทำแท้งแน่นอน เคยไปฝึกงานที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งเมื่อ 10 ปีก่อน เห็นคนไข้อายุ 14 ปีมาขูดมดลูก อาจารย์หมอทำ หนูจำได้ว่าเห็นเนื้อออกมาเป็นชิ้นๆ เกิดความรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ…”
นี่เป็นคำพูดจากพยาบาลคนหนึ่งที่มาพบลุงหมอในวันหนึ่ง
“แต่หนูก็ไม่ได้ตัดสินคนที่ไปทำแท้งว่าไม่ดีนะ แต่คิดว่าถ้าเป็นหนู หนูจะไม่ทำ เราจะสตรอง…..”
เธอคิดว่าจะเข้มแข็งได้ แต่พอเกิดกับตัวเธอเอง จึงเข้าใจว่าคนเรามีเหตุผลหลายอย่าง ที่มีทาง
เลือกที่มันไม่ใช่เรื่องบาปบุญอย่างเดียว เป็นเรื่องของการใช้ชีวิตต่างๆ ที่ไม่เหมือนกันในแต่ละคน
24 พฤษภาคม 2560 หญิงสาววัย 30 ปี ทำงานเป็นพยาบาลที่โรงพยาบาลของรัฐแห่งหนึ่งได้มาขอปรึกษาเรื่องท้อง เธอเล่าว่า 5 ปีที่ผ่านมาได้อยู่กินกับแฟน ไม่มีลูกด้วยกัน ทั้งที่ไม่ได้คุมกำเนิดอะไรเลย ทำให้เชื่อว่าตัวเองน่าจะมีปัญหามีลูกยาก เพราะฝ่ายชายเขาเคยมีลูกมาก่อน แต่ไม่เคยไปตรวจหาสาเหตุ แต่ก็ได้เลิกรากันไป ตอนนี้มีแฟนใหม่คบกันได้ 3 เดือน ผู้ชายเขาใช้การหลั่งภายนอกเป็นการป้องกันไม่ให้เธอท้อง ตัวเธอเองไม่ได้คุมอะไรเพราะเข้าใจว่าเป็นคนที่ท้องยาก ล่าสุดมีเพศสัมพันธ์กันเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม แฟนหลั่งภายใน ส่วนเธอไม่ได้กินยาคุมฉุกเฉิน ประจำเดือนครั้งล่าสุดมาวันที่ 25 มีนาคม 2560 พอเดือนเมษายนประจำเดือนขาดไป แต่เธอไม่ได้ตรวจว่าท้องไหม เพราะเข้าใจว่าตัวเองไม่ท้อง อีกทั้งประจำเดือนของเธอ 2 เดือนมาครั้ง ประกอบกับไม่มีอาการอะไรที่เกี่ยวกับการท้องด้วย จึงคิดเอาเองว่าเดี๋ยวเดือนหน้าก็คงจะมา…
ผู้อ่านคิดว่าเธอจะคิดถูกไหมครับ?
ต่อมาเธอรู้สึกผิดปกติ เป็นยังไงละครับ คือ..ถ้าได้กลิ่นน้ำหอมแล้วจะรู้สึกคลื่นไส้ ทั้งๆ ที่ปกติเธอชอบกลิ่นน้ำหอมมากและไม่เคยมีอาการแบบนี้ ก็เลยรีบตรวจปัสสาวะทันที ไม่ใช่ตรวจครั้งเดียว แต่ตรวจเช้า ตรวจเย็น พบขึ้น 2 ขีดทั้ง 2 ครั้ง เธอท้องแล้ว!
ที่ผ่านมาเห็นชัดๆ ว่าเข้าใจผิด ลุงหมอว่าถ้าตรวจตั้งแต่ 7 วันแรกหลังขาดประจำเดือนนั่นแหละถูกต้องแล้วดีกว่าด้วย ซึ่งเท่ากับท้องเล็กๆ ซักประมาณ 5 สัปดาห์ ยังเป็นถุงน้ำคร่ำเล็กขนาดประมาณ 1 ซม.เศษๆ จะยังไม่ปรากฏเป็นตัวอ่อนเลยครับ หรือถ้าให้ดี ให้ตรวจหลังจากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน 2 สัปดาห์เป็นต้นไป เพื่อให้ทราบว่าตั้งครรภ์หรือไม่ตั้งแต่เนิ่นๆ
เธอจึงคิด..และคิดอีก..ว่าจะเอาไงต่อไป ระหว่างนี้เครียดมากจนถึงกับไม่กินอะไร ทั้งที่ก่อนหน้านี้จะกินมาก นอนไม่หลับ เธอนอนคิดไปมา ปรึกษาแฟน หาข้อมูลเกี่ยวกับท้อง การทำแท้งตามเว็บไซต์ต่างๆ เรื่องที่คิดมากมีหลายเรื่อง ตั้งแต่ความไม่มั่นใจตัวแฟน อีกทั้งก่อนหน้านี้ก็กินยาเยอะแยะเลย กินยาฆ่าเชื้อที่หมอให้มาเพราะมีปัญหารากฟันอักเสบนาน 3 สัปดาห์ ซ้ำยังกินยาลดน้ำหนักจนถึงวันที่ตรวจปัสสาวะอีกด้วย เพราะไม่ได้คิดว่าท้อง
เมื่อเธอย้อนคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาเรื่องการกินยาต่างๆ ก็ไม่สบายใจมาก ถ้าลูกพิการตอนคลอดออกมา ไม่รู้ว่าตนเองจะดูแลเขาได้นานเท่าไร ที่บ้านก็ไม่มีใคร คงจะมีปัญหาคนดูแลลูก ส่วนแฟนนั้น เธอยังไม่รู้จักเขาดีพอที่จะรู้สึกว่ามั่นใจเรื่องที่เขาจะดูแลเธอและลูกได้ดีไหม?
เช่นเดียวกับผู้หญิงที่พบปัญหาเช่นนี้ เธอเริ่มสนใจค้นหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต ข้อมูลที่อยากรู้คือ สถานบริการที่ช่วยและให้การปรึกษาเรื่องแท้ง ค้นไปพบสมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทย หรือ สวท. พบข้อมูลยาทำแท้งที่ชื่อไซโตเทค เธอเข้าไปอ่านรีวิวที่มีคนโพสต์ว่ามีคนสั่งซื้อยาจากเว็บแต่ไม่ได้ยาจริง มีที่ใช้ยาแล้วไม่แท้งก็ต้องท้องต่อ บางคนโทรไปถามที่เว็บว่าไม่แท้งจะทำยังไง ก็บอกให้ซื้อยาอีกชุด กว่าจะได้ยามาทำแท้งอีกก็ช้าไปท้องโต 6 เดือนแล้ว เด็กแท้งออกมาไม่ตาย หรือบางทีตกเลือดต้องไปโรงพยาบาล…
เธอบอกว่าได้อ่านเรื่องเล่าลุงหมอจากเวบไซต์ด้วย เธอไม่อยากให้เป็นอย่างที่บอกลุงหมอ แต่อยากได้ยาที่มีคนรับรองและมีคนดูแลรับผิดชอบได้
“ถ้าซื้อยาจากเน็ตไม่มีอะไรการันตีว่าเราจะปลอดภัย บางคนท้องต่อลูกก็พิการ หนูอยากได้แบบที่ว่า ทำยังไงให้ถูกต้องปลอดภัย”
“หนูไปเจอเว็บไซต์ที่บอกว่ามีแพทย์พยาบาลอาสา RSA ทำแท้งให้ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ไม่พร้อม บอกให้มาปรึกษาคลินิกในโครงการเครือข่าย ที่จังหวัดหนูก็มี คลินิก สวท ได้โทรมาติดต่อ..”
เธอบอกว่ามีคุณหมอท่านหนึ่งชื่อ นายแพทย์ธนพันธ์ ชูบุญ โพสต์ไว้ใน www.gotoknow.org ว่า ไปช่วยทำแท้งที่ขอนแก่น รอบสอง เมื่อได้อ่านแล้ว ช่วยให้เธอรู้สึกดีขึ้น มีกำลังใจมากขึ้น
“3 วันที่หนูคิดตัดสินใจเลือกหาทางออก ตอนแรกที่ตัดสินใจจะทำแท้ง หนูรู้สึกตัวว่าบาปมาก”
“ที่สะกิดใจหนูมาก คำพูดของอาจารย์ที่ว่า เข้าใจว่าสังคมชาวพุทธยอมรับไม่ได้ ต้องเอาลูกไว้ไม่ว่าจะพิการหรือไม่ แต่อาจารย์คิดว่าช่วยให้เขาได้เรียนต่อได้ ให้ชีวิตใหม่กับเขา ทำให้ตัวหนูเองลดความรู้สึกบาปไปเยอะ”
เธอเห็นว่าสังคมไทยไม่ได้ยอมรับให้เด็กเรียนต่อถ้ายังท้อง เขาต้องโดนแอนตี้แน่นอน เธอเคยคุยกับชาวต่างชาติที่พิการขาลีบเขาว่าอยากให้แม่เขาทำแท้งตัวเขาเองจะดีกว่า โดยตั้งคำถามว่าคนเราจะรู้ได้ยังไงว่าลูกจะแฮปปี้หรือไม่ที่จะต้องมีชีวิตพิการยังงั้น.. เธอชื่นชมว่าเจ้าหน้าที่ที่คลินิกนี้คุยดีมาก รับฟังมากๆ ไม่ตัดสิน ไม่มีคำพูดที่ทำให้รู้สึกว่าเป็นการตัดสินเรา..
คำพูดทิ้งท้ายของเธอ “ยิ่งเป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่ท้องไม่พร้อม ยิ่งหาที่พึ่งยาก เพราะใครๆ ก็คาดหวังว่าต้องมีความรู้ ทำไมไม่รู้จักป้องกัน ส่วนใหญ่เขาไม่ฟังเราเรื่องเหตุผลที่มาที่ไป”
ลุงหมอว่าน่าคิดนะครับ… การที่ผู้หญิงสักคนจะท้องไม่พร้อมมันมีเหตุนะครับ และที่สำคัญ ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ตั้งใจท้องเพื่อไปทำแท้งแน่นอนครับ!
ด้วยรักและห่วงใย
นพ.เรืองกิตติ์ ศิริกาญจนกูล ผู้ประสานงานเครือข่ายRSA