Live เปิดแถลงข่าว “ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องพิจารณามาตรา 301 และ 305 แห่งประมวลกฎหมายอาญาว่ามีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย”
https://youtu.be/i6CP7iKIS_U
รศ.ดร.กฤตยา อาชวนิจกุล ผู้ประสานงานเครือข่ายสนับสนุนทางเลือกผู้หญิงท้องไม่พร้อม กล่าวว่า ระหว่างที่ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่ากฎหมายอาญา ม.301-305 ที่เกี่ยวข้องกับการทำแท้งอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะ ม. 301 ที่ระบุว่า หญิงใดทำให้ตนหรือยินยอมให้ผู้อื่นทำให้ตนแท้งลูก ต้องมีความผิดตามกฎหมาย ซึ่งข้อเท็จจริงคือ การตั้งครรภ์ไม่ได้เกิดจากฝ่ายหญิงเท่านั้น กฎหมายนี้จึงจงใจละเลยการเอาผิดกับผู้ชายที่ทำให้ผู้หญิงท้อง ซึ่งขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ที่ระบุไว้ว่า ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคลทั้งหญิงและชายต้องได้รับการคุ้มครองอย่างเท่าเทียมกัน ...
ข้อเรียกร้องต่อการที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องต่อการแก้กฎหมายทำแท้ง
https://www.youtube.com/watch?v=ysQ65YuyVLQ&feature=youtu.be
ระหว่างที่ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่า กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการทำแท้งขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ เครือข่ายสนับสนุนทางเลือกของผู้หญิงท้องไม่พร้อม และเครือข่ายอาสา RSA มีข้อเสนอต่อผู้บังคับใช้กฎหมายและผู้เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้
1. ขอให้ประชาชน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน รับรู้และเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า การตีความกฎหมายทำแท้งที่ศาลรัฐธรรมนูญรับไว้พิจารณานั้น เป็นไปเพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้หญิงและครอบครัว ตามสิทธิความจำเป็นพื้นฐานของมนุษย์
2. ขอให้บุคลากรสาธารณสุขทุกระดับ ตระหนักและไม่หวาดหวั่นต่อการช่วยเหลือผู้หญิงให้เข้าถึงการทำแท้งทางการแพทย์ที่ปลอดภัย รวมทั้งลดอุปสรรคต่อการเข้าถึงบริการดังกล่าว
3. ขอให้ผู้เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรม ได้แก่ ตำรวจ อัยการ ทนายความ และศาล รับรู้และให้ความสำคัญต่อการรับคำร้องนี้
4. ขอให้ตำรวจหยุดจับและดำเนินคดีกับการให้บริการทำแท้งที่ปลอดภัยโดยแพทย์
5. ขอให้ตำรวจมุ่งเป้าหมายไปที่การกวาดล้างการทำแท้งเถื่อน...
แรงกระเพื่อมที่ทำให้ต้องแก้กฎหมายทำแท้ง ?
กฎหมายยังคงอยู่..ตราบเท่าที่กฎหมายนั้นส่งผลในทางบวกต่อผู้คนในสังคม แต่ถ้าเป็นไปในทางตรงกันข้าม ก็ควรมีการเปลี่ยนแปลง ประเทศไทยมีแรงกระเพื่อมที่เสริมต่อการแก้ไขกฎหมายทำแท้งหลายประการ
ประการแรก:ประเทศไทยมีความก้าวหน้าทางการแพทย์ที่ดีเลิศ มีเทคโนโลยียุติการตั้งครรภ์ด้วยยาที่อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติอย่างเท่าเทียมนานาอารยประเทศ แต่ผู้หญิงที่ประสบปัญหากลับต้องหาซื้อยาทำแท้งเถื่อนทางอินเทอร์เน็ต ส่งผลให้ไทยต้องเผชิญกับปัญหาอัตราการตายของแม่จากการตั้งครรภ์ติดอันดับต้นๆ ของโลก สาเหตุหลักคือการตกเลือดและติดเชื้อในกระแสเลือด
ประการที่สอง:มาตรา 301 ทำให้ผู้หญิงต้องแก้ไขปัญหาอย่างหลบๆซ่อนๆ ไม่กล้าเปิดเผยตนเองเพื่อขอเข้ารับการปรึกษาหรือบริการสุขภาพ เนื่องจากการตัดสินใจเลือกยุติการตั้งครรภ์มีนัยต่อการทำผิดต่อกฎหมายอาญาความผิดฐานทำให้แท้งลูก เสี่ยงต่อการถูกฟ้องดำเนินคดี ต้องหันไปใช้บริการที่ผิดกฎหมาย เช่น การรับบริการที่คลินิกเถื่อน การซื้อยาจากอินเทอร์เน็ต
ประการที่สาม:แพทย์ผู้ให้บริการยุติการตั้งครรภ์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย ถูกรีดไถเงิน ถูกตั้งข้อกล่าวหาในมาตรา 302 ทั้ง ๆ ที่กฎหมายได้อนุญาตให้แพทย์สามารถยุติการตั้งครรภ์ได้ตามมาตรา...
หยุดจับและดำเนินคดีกับการให้บริการทำแท้งที่ปลอดภัย
เสนอตำรวจหยุดจับและดำเนินคดีกับการให้บริการทำแท้งที่ปลอดภัยโดยแพทย์ ระหว่างที่ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่ากฎหมายอาญาว่าด้วยการทำแท้งอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ
วันที่ 20 ธ.ค.61 เวลา 09.30 น. ห้องประชุมกำธร สุวรรณกิจ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เครือข่ายสนับสนุนทางเลือกผู้หญิงท้องไม่พร้อม และเครือข่ายอาสา RSA (Referral system for Safe Abortion) แถลงข่าวกรณีศาลรัฐธรรมนูญรับพิจารณาคำร้องกฎหมายอาญามาตรา 301-305 ที่เกี่ยวข้องกับการทำแท้งว่าอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ
รศ.ดร.กฤตยา อาชวนิจกุล ผู้ประสานงานเครือข่ายสนับสนุนทางเลือกผู้หญิงท้องไม่พร้อม...
ทำไมต้องให้ความเสมอภาคแก่ผู้หญิงในการตัดสินใจทำแท้ง
มีหลักการ 4 ข้อ ที่ควรจะให้ความเสมอภาคแก่ผู้หญิงในเรื่องการตัดสินใจยุติการตั้งครรภ์ คือ
1) เนื้อตัวร่างกายเป็นสิทธิเสรีภาพโดยสมบูรณ์ของหญิง เมื่อไม่เคยเบียดเบียนคนอื่น หญิงควรมีสิทธิที่จะตัดสินใจได้ว่าจะทำกับตนเองอย่างไร
2) การปล่อยให้ครรภ์ที่ไม่พร้อมคลอดออกมาในสังคม โดยผู้ตั้งครรภ์ไม่พร้อมที่จะดูแลเป็นการสร้างภาระให้กับผู้หญิง ส่งกระทบต่อทั้งอนาคตของเด็กที่เกิดมา และซ้ำเติมปัญหาให้แก่สังคมในอนาคต
3) สิทธิการตัดสินใจควรจะเป็นของผู้ที่สามารถใช้สิทธินั้นได้ ตราบใดที่ตัวอ่อนยังไม่อาจแยกออกจากครรภ์ จึงเป็นเพียง “อนาคต” ที่ไม่แน่นอน สังคมจะยอมให้อนาคตที่ยังมาไม่ถึงนั้นทำลาย “ปัจจุบัน” ทีเดียวหรือ? ถ้าปัจจุบันถูกทำลายอนาคตก็มีไม่ได้
4) การห้ามทำแท้งโดยกฎหมายไม่เกิดประโยชน์แก่ใครเลย เพราะเมื่อผู้หญิงต้องการยุติครรภ์ของตน อย่างไรก็ต้องทำ...
ทำไมต้องแก้กฎหมายทำแท้ง ?
ข้อเท็จจริงคือ “กฎหมาย” ควรต้องปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้สอดคล้องกับบริบทของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ ประมวลกฎหมายอาญาว่าด้วยความผิดฐานทำให้แท้งลูก ได้ถูกใช้มากว่า 60 ปีแล้ว สภาพสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองไทยที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย
ส่งผลให้ในปี พ.ศ. 2560 คณะกรรมการพิจารณาปรับปรุงประมวลกฎหมายอาญา สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้หยิบยกเอาประมวลกฎหมายอาญามาตรา 301-305 มาปรับปรุง โดยมีแนวโน้มให้ตีความสุขภาพครอบคลุมสุขภาพทางใจ และกรณีตัวอ่อนในครรภ์มีความพิการหรือมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคทางพันธุกรรมด้วย ปัจจุบันการพิจารณาดังกล่าวยังไม่แล้วเสร็จ
รูปธรรมปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในสังคมไทยจากครอบครัว เศรษฐกิจ และสังคม ที่ผลักดันให้ผู้หญิงตัดสินใจยุติการตั้งครรภ์ ได้แก่...
กฎหมายไทย ทำแท้งได้กรณีไหนบ้าง?
การทำแท้งในประเทศไทยไม่ได้ผิดกฎหมายทั้งหมด กฎหมายอนุญาตให้ผู้หญิงสามารถตัดสินใจทำแท้งได้โดยแพทย์ โดยมีข้อบ่งชี้เหตุผลทางการแพทย์เพื่อสุขภาพและชีวิตของหญิงตั้งครรภ์ รวมทั้งการตั้งครรภ์ที่เกิดจากความผิดทางเพศ ดังต่อไปนี้
การตั้งครรภ์นั้นส่งผลเสียต่อชีวิตหรือสุขภาพทางกายของผู้หญิงการตั้งครรภ์ที่เกิดจากการถูกข่มขืนกระทำชำเราการตั้งครรภ์ในเด็กหญิงที่อายุไม่เกิน 15 ปี ไม่ว่าหญิงนั้นจะสมยอมหรือไม่ก็ตามการตั้งครรภ์มาจากเหตุล่อลวง บังคับ หรือข่มขู่ เพื่อทำอนาจาร สนองความใคร่การตั้งครรภ์นั้นส่งผลเสียต่อสุขภาพทางใจของผู้หญิง (เพิ่มเติมในข้อบังคับแพทยสภา พ.ศ. 2548 ขยายความ ”สุขภาพ” ให้ครอบคลุมทางกายและใจ แต่ยังไม่ถูกระบุไว้ในกฎหมาย)ทารกในครรภ์มีความพิการ (เพิ่มเติมในข้อบังคับแพทยสภา พ.ศ. 2548 โดยใช้เหตุผลปัญหาสุขภาพทางใจของผู้หญิง แต่ยังไม่ถูกระบุไว้ในกฎหมาย)
ผลสำรวจโดยกรมอนามัย...
กฎหมายทำแท้งมีความเป็นมาอย่างไร?
“การทำแท้ง” หรือ “การยุติการตั้งครรภ์” อยู่คู่กับประวัติศาสตร์มายาวนาน เดิมประเทศไทยไม่มีบทบัญญัติความผิดฐานทำให้แท้งลูกโดยตรง ต่อมามีการพัฒนาบทบัญญัติลงโทษผู้อื่นที่ทำให้หญิงแท้งลูก แต่ไม่ครอบคลุมการที่หญิงทำให้ตนเองแท้งลูกแต่อย่างใด
เจตนารมณ์ของการมีกฎหมายคือมุ่งเน้นการคุ้มครองชีวิตที่จะเกิดมาเป็นหลัก สภาพของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา กฎหมายจึงได้ยกเว้นเรื่องเหตุผลทางการแพทย์เพื่อสุขภาพและชีวิตของหญิงตั้งครรภ์ ต่อมาเมื่อผู้หญิงตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมทางเพศเพิ่มขึ้น กฎหมายจึงได้เพิ่มเติมทำแท้งจากความผิดทางเพศด้วย ซึ่งคือสาระสำคัญของประมวลกฎหมายอาญาความผิดฐานทำให้แท้งลูก มาตรา 301-305 ใช้กันมาตั้งแต่ปี 2500 จนถึงปัจจุบัน
สิ่งที่ยังเป็นข้อถกเถียงกันคือ การที่หญิงตั้งครรภ์มีความจำเป็นหลายด้านที่อาจต้องทำแท้งเนื่องจากปัญหาครอบครัว สังคม เศรษฐกิจ และความคาดหวังต่อชีวิตในอนาคต แต่กฎหมายมีข้อยกเว้นเพียงสองส่วนเท่านั้น ทำให้เกิดการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัย เกิดการบาดเจ็บและเสียชีวิต...
บทสิ้นสุดการเดินทางอันโดดเดี่ยว และการตีตราผู้หญิงที่ทำแท้ง เพื่อสนับสนุนสิทธิทางเลือกของผู้หญิงในไอร์แลนด์
กฎหมายทำแท้งในไอร์แลนด์ได้ผ่านสภาเมื่อ 13 ธันวาคม 2561 ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการเพื่อส่งต่อให้นายกรัฐมนตรีลงนามรับรองใช้เป็นกฎหมายประเทศต่อไป
เหตุการณ์นี้ถือว่าเป็น “ช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์” ถือเป็น “บทสิ้นสุดการเดินทางอันโดดเดี่ยว และการตีตราผู้หญิงที่ทำแท้ง” เพื่อสนับสนุนสิทธิทางเลือกของผู้หญิงในไอร์แลนด์
ในอดีต ประเทศไอร์แลนด์ เป็นหนึ่งในสองของประเทศในยุโรปที่ห้ามการทำแท้งทุกกรณี (อีกประเทศคือมอลต้า) เหตุการณ์สำคัญที่นำไปสู่การแก้กฎหมาย คือย้อนกลับไปในปี 2555 ทันตแพทย์หญิงชาวไอริช Savita Halappanavar ตั้งครรภ์ 17 สัปดาห์ ตรวจพบตัวอ่อนในครรภ์ผิดปกติรุนแรง เธอและสามีร้องขอให้แพทย์ทำแท้งเพื่อรักษา...
การศึกษาภาวะซึมเศร้าของสตรีตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ที่เข้ารับบริการยุติการตั้งครรภ์ที่โรงพยาบาลห้วยราช จังหวัดบุรีรัมย์
การศึกษาภาวะซึมเศร้าของสตรีตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ที่เข้ารับบริการยุติการตั้งครรภ์ที่โรงพยาบาลห้วยราช จังหวัดบุรีรัมย์ โดย นพ.ภุชงค์ ไชยชิน นางวิจิตรา วาลีประโคน
...หลังการยุติการตั้งครรภ์ พบว่า ผู้รับบริการส่วนใหญ่มีระดับภาวะซึมเศร้าอยู่ในเกณฑ์ปกติ ซึ่งในกลุ่มที่ผิดปกติ พบว่าเป็นผู้ที่มีภาวะซึมเศร้าระดับปานกลางถึงมากที่สุด จึงตอบคำถามการวิจัยได้ว่าภาวะซึมเศร้าหลังการยุติการตั้งครรภ์ของผู้รับบริการส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ปกติและ เมื่อเปรียบเทียบระดับภาวะซึมเศร้าก่อนและหลังยุติการตั้งครรภ์ พบว่า ผู้รับบริการส่วนใหญ่มีภาวะซึมเศร้าที่ลดลงซึ่งแสดงว่าผลการรักษาดีขึ้น แต่ก็ยังพบว่ามีผู้รับบริการร้อยละ 10.3 ที่ระดับภาวะซึมเศร้าเพิ่มขึ้น ซึ่งคล้ายกับการศึกษาของ Christensen และคณะ ที่พบว่าสตรีตั้งครรภ์ไม่ตั้งใจมีภาวะซึมเศร้าในระยะหลังคลอด ร้อยละ 10.2...